บทที่ 2 ระหว่างทาง

ม.พะเยานำต้นทุนในชุมชนแม่กา มาต่อยอดเป็นโครงการฝึกทักษะสร้างผลิตภัณฑ์จากสมุนไพร ที่ตอบสนองความต้องการของตลาดออนไลน์

ตำบลแม่กา จังหวัดพะเยา นับว่าเป็นตำบลที่มี ‘ของดี’ ประจำชุมชนอย่างตะไคร้หอม แต่สิ่งที่วิทยาลัยการศึกษา จังหวัดพะเยาพบคือคนในพื้นที่ยังขาดทักษะความรู้ในการเพิ่มมูลค่าของของดีเหล่านั้น ทั้งยังขาดทักษะฝีมือในการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่น่าสนใจ เนื่องจากคนส่วนใหญ่ในชุมชนยังเข้าไม่ถึงแหล่งฝึกอาชีพเพื่อเพิ่มศักยภาพของตัวเอง

วิทยาลัยการศึกษาจึงได้ทำการลงพื้นในตำพลแม่กาเพื่อเปิดรับสมัครกลุ่มคนที่ขาดโอกาสเข้ามาเป็นสมาชิกของโครงการจำนวน 73 คน ประกอบไปด้วยแรงงานนอกระบบ ผู้ว่างงาน ผู้สูงอายุ ผู้พิการ และผู้ถือบัตรสวัสดิการฯ ซึ่งคนส่วนใหญ่มีจุดร่วมคือเป็นผู้ที่กำลังศึกษาอยู่ในการศึกษานอกระบบ

เมื่อได้กลุ่มเป้าหมายตามที่คาดหวังแล้ว โครงการได้ตั้งเป้าหมายในการดำเนินงาน 3 ประเด็น คือ 1.รวบรวมองค์ความรู้เกี่ยวกับสรรพคุณและผลิตภัณฑ์แปรรูปจากตะไคร้หอม 2.ฝึกฝนทักษะการวางแผนจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ผ่านการตลาดหลากหลายรูปแบบให้กับกลุ่มเป้าหลาย 3.กลุ่มเป้าหมายเกิดองค์ความรู้และทักษะการทำน้ำสมุนไพร

จากเป้าหมายทั้ง 3 ข้อนี้ โครงการจึงได้พัฒนาหลักสูตรอาชีพขึ้นมา โดยมุ่งเน้นการต่อยอดผลิตภัณฑ์ตะไคร้หอมให้เกิดมูลค่ามากขึ้น เช่น การทำน้ำสมุนไพร การทำโคมไฟไล่ยุง และการทำเทียนหอมไล่ยุง โดยหลังจากการอบรมในส่วนของทักษะอาชีพ โครงการยังฝึกสอนเรื่องการตลาดในสื่อหลากหลายรูปแบบซึ่งรวมถึงสื่อดิจิตอลด้วย

ความท้าทายของโครงการนี้คือต้องทำงานกับกลุ่มเป้าหมายที่มีความหลากหลาย โดยเฉพาะกลุ่มผู้สูงวัยที่มีประสบการณ์มายาวนาน คณะผู้ดำเนินงานจึงต้องพยายามผสมผสานองค์ความรู้ใหม่เข้ากับองค์ความรู้เดิมที่กลุ่มเป้าหมายนี้ยึดถือ เพื่อค่อยๆ ปรับกระบวนการคิดและปฏิบัติให้เกิดการต่อยอด

หลังจากที่ได้มีการฝึกอาชีพกัน โครงการก็ได้สัมผัสถึงความก้าวหน้าที่เกิดขึ้นกับกลุ่มเป้าหมาย โดยเริ่มจากความสุขที่สมาชิกทุกคนได้เข้ามาร่วมกันเรียนรู้งาน มีการรวมกลุ่มเพื่อทำงานด้วยกัน และที่สำคัญคือเห็นความกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ มากขึ้นจากกลุ่มเป้าหมาย

การทำงานกับกลุ่มเป้าหมายจำนวนมากและหลากหลาย เป็นความท้าทายที่สำคัญในการยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในชุมชน ซึ่งวิทยาลัยการศึกษา มหาวิทยาลัยพะเยา ได้เลือกที่จะไม่คัดสรรแค่กลุ่มคนบางกลุ่มเท่านั้น ทำให้โครงการนี้สามารถเข้าถึงได้ง่าย และเปิดโอกาสให้คนที่สนใจกล้าในการสมัครมาเข้าร่วมโครงการ ซึ่งนับว่าเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อพัฒนาชุมชนในภาพรวม

ม.นครพนม ติดทักษะช่างเชื่อมสแตนเลสให้กับเกษตรกร ต้อนรับการปรับสถานะเป็นพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษ หวังช่วยเสริมรายได้นอกฤดูทำนา

Thailand 4.0 ไม่ใช่แค่เพียงเรื่องของนโยบาย แต่เป็นเรื่องของยุคสมัยที่กำลังเดินหน้าและก้าวสู่การเป็นสังคมแห่งเทคโนโลยี ความเปลี่ยนแปลงนี้ส่งผลต่อทุกภาคส่วนของประเทศไทย รวมถึงกลุ่มแรงงานซึ่งเป็นฟันเฟืองของสังคม โดยโลกยุค 4.0 นี้ เรียกร้องทักษะที่แตกต่างจากโลกยุคก่อน ทำให้แรงงานในประเทศหลายกลุ่มต้องปรับตัวและยกระดับตัวเองขึ้นมาให้เท่าทัน

จังหวัดนครพนม เป็นหนึ่งในจังหวัดที่มีเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นมากที่สุดหลังถูกจัดให้เป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษจากนโยบายของภาครัฐ ความเปลี่ยนแปลงนี้มาพร้อมโอกาสมากมายที่แรงงานในพื้นที่จะสามารถคว้าเอาไว้ คณะเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยนครพนม คือหน่วยงานที่อยู่ใกล้ชิดกับชุมชนจึงได้เห็นความสำคัญในการจัดทำโครงการพัฒนาทักษะอาชีพขึ้นมา เพื่อสอดรับกับการพัฒนาของจังหวัด

โครงการพัฒนาทักษะอาชีพช่างเชื่อมแสตนเลสให้กับประชากรวัยแรงงานที่ด้อยโอกาสในพื้นที่จังหวัดนครพนม จึงได้ถูกจัดทำขึ้นโดยมีกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจนคือกลุ่มผู้ว่างงานจำนวน 150 คน ในพื้นที่จังหวัดนครพนม

หลักสูตรที่สำคัญของโครงการนี้คือการยกระดับคุณค่ามนุษย์ด้วยการพัฒนาให้เป็น ‘มนุษย์ที่สมบูรณ์ในศตวรรษที่ 21’ โดยในช่วงเริ่มต้นที่มีการจัดทำหลักสูตร โครงการได้ลงพื้นที่ 3 ครั้ง เพื่อเฟ้นหากลุ่มเป้าหมาย ค้นหาศักยภาพของชุมชน และตั้งเวทีวิพากษ์หลักสูตรเพื่อร่วมพัฒนากับกลุ่มผู้เกี่ยวข้อง จนได้หลักสูตรสำหรับการจัดอบรมพัฒนาทักษะช่างเชื่อมแสตนเลสขึ้นมาหนึ่งชุด

หลักสูตรที่โครงการได้จัดทำขึ้นประกอบไปด้วย 3 หัวข้อหลัก คือ 1.สร้างเป้าหมายชีวิตด้วยแรงบันดาลใจ 2.พัฒนาทักษะการเชื่อมแสตนเลสตั้งแต่ขั้นพื้นฐานจนถึงขั้นปฏิบัติการ 3.การเป็นผู้ประกอบการอาชีพช่างเชื่อมแสตนเลส โดยตลอดทั้งหลักสูตรผู้เข้าร่วมโครงการจะต้องใช้เวลาในการอบรมทั้งสิ้น 40 ชั่วโมง

การฝึกฝนและอบรมของโครงการได้ดำเนินผ่านมาแล้วเป็นระยะเวลาหนึ่ง ทำให้โครงการได้เห็นการเปลี่ยนแปลงของกลุ่มเป้าหมายที่มีทักษะการเชื่อมแสตนเลสอย่างเชี่ยวชาญมากขึ้น มีแรงบันดาลใจและเป้าหมายในชีวิตที่ชัดเจน และสามารถต่อยอดทักษะเหล่านี้ไปเป็นระดับของผู้ประกอบการได้ในอนาคต

ในทุกความเปลี่ยนแปลง ย่อมสร้างโอกาส จึงเป็นเรื่องสำคัญที่หน่วยพัฒนาอาชีพในชุมชนจะต้องก้าวตามให้ทันและมีส่วนร่วมในการยกระดับฝีมือของแรงงานในพื้นที่ เช่นเดียวกับคณะเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยนครพนม ที่ได้จัดทำโครงการพัฒนาทักษะอาชีพฯ ขึ้นเพื่อก้าวตาม ‘ต้นทุน’ ที่เปลี่ยนไปของ ‘เขตเศรษฐกิจพิเศษ’ จังหวัดนครพนม

‘กลุ่มฅนวัยใส’ จัดโครงการฝึกทักษะ ‘พ่อแม่วัยรุ่น’ ให้เป็นเจ้าของร้านอาหารขนาดเล็ก แก้ปัญหาครอบครัวอย่างยั่งยืน

หน่วยพัฒนาอาชีพกลุ่มฅนวัยใส คือหน่วยงานที่ทำงานร่วมกับกลุ่มพ่อแม่ที่เป็นเยาวชนมาอย่างยาวนาน โดยมีพื้นที่ดูแลครอบคลุมถึง 12 ตำบลในอำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งที่ผ่านมาก็ได้พบปัญหาหลายอย่างที่ทำให้กลุ่มพ่อแม่วัยรุ่นขาดโอกาสในการได้รับสวัสดิการที่ดี เช่น การไม่สามารถเข้าถึงเงินอุดหนุนแรกเกิด ปัญหาเรื่องสิทธิหลักประกันสุขภาพ หรือแม้แต่การที่ไม่แม่วัยใสไม่ต้องการเปิดเผยให้ชุมชนรู้ว่าตนเองตั้งครรภ์ นอกเหนือจากเรื่องสวัสดิการด้านสุขภาพแล้ว วัยรุ่นหลายคนเมื่อตั้งครรภ์แล้วก็จะตัดสินใจลาออกจากโรงเรียน เนื่องจากต้องการที่จะออกมาทำงานหาเลี้ยงตัวเอง 

ปัญหาเหล่านี้เป็นสิ่งที่กลุ่มฅนวัยใสทำงานเพื่อแก้ไขและบรรเทามาโดยตลอด โดยล่าสุดได้จัดทำโครงการพัฒนาทักษะอาชีพการประกอบอาหารขนาดย่อมในกลุ่มพ่อแม่วัยรุ่น โดยได้มีการจับมือกับองค์กรที่มีบทบาทในเรื่องสิทธของนชุมชน เช่น กลุ่มสตรีนักธุรกิจและวิชาชีพวัยก้าวหน้าเชียงใหม่ และองค์การเฟรน เพื่อเป็นพัธมิตรด้านการแนะแนวทางอาชีพ รวมถึงอุปกรณ์ที่จำเป็นต่อการฝึกฝนอาชีพของกลุ่มเป้าหมาย

ในช่วงแรกโครงการเริ่มต้นการฝึกฝนอบรมกับพ่อแม่วัยรุ่นจำนวน 80 คน แต่หลังจากที่ได้มีการดำเนินงานมาแล้วระยะหนึ่งสมาชิกหลายคนมีความจำเป็นต้องหยุดพักไปก่อน เนื่องจากยังไม่มีความพร้อมเพียงพอที่จะเข้ารับการอบรมอย่างต่อเนื่อง รวมถึงบางรายยังไม่พร้อมในด้านของอุปกรณ์การประกอบอาชีพ ทำให้สมาชิกกลุ่มที่เหลือราว 50 คน เป็นกลุ่มที่มีศักยภาพในการพัฒนาอย่างจริงจัง โดยโครงการได้จัดทำหลักสูตรขึ้นมาเพื่อช่วยต่อยอดเป้าหมายของคนกลุ่มนี้

หลักสูตรของโครงการจะเป็นในเชิงให้ความรู้ด้านการตลาดออนไลน์ การสร้างวินัย การสร้างแบรนด์ รวมถึงมีการเชิญผู้เชี่ยวชาญในแต่ละสาขาอาชีพมาให้ความรู้ในสาขาที่กลุ่มเป้าหมายเลือก เช่น การทำขนม การทำเครื่องดื่ม และร่วมกันต่อยอดพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ตรงกับความต้องการของตลาด

ในส่วนของการจัดหาวิทยากร กลุ่มฅนวัยใสได้ให้ความสำคัญกับการเฟ้นหาคนที่เหมาะสมเป็นอย่างมาก เนื่องจากกลุ่มพ่อแม่วัยรุ่น คือกลุ่มที่ต้องเผชิญกับอคติของสังคมอยู่บ่อยครั้ง ทำให้กลุ่มฅนวัยใสมีกฎเกณฑ์ในการคัดเลือกวิทยากรดังนี้ 1.ต้องไม่มีอคติต่อกลุ่มเป้าหมาย 2.ไม่ใช้วิธีการพูดเชิงสั่งสอนหรือตำหนิ 3.ควรเป็นคนรุ่นใหม่ที่เข้าในบริบทของคนวัยเดียกัน 4.ต้องมีการทำความเข้าใจกับวิทยากรเพื่อให้เข้าใจธรรมชาติของกลุ่มเป้าหมายก่อนทุกครั้ง

หลังจากผ่านการอบรมในหลักสูตรมาแล้วระยะเวลาหนึ่ง เจ้าหน้าที่โครงการก็ได้เห็นการพัฒนาของกลุ่มเป้าหมายผ่านการลงพื้นที่พูดคุยอย่างต่อเนื่อง ทำให้ได้เห็นถึงแรงบันดาลใจและแรงขับเคลื่อนที่กลุ่มเป้าหมายมีต่ออาชีพที่ตัวเองต้องการฝึกฝน ไม่ว่าจะเป็นการขายน้ำหวาน ปิ้งย่างหม่าล่า ลูกชิ้นทอด ไปจนถึงการขายเสื้อผ้าออนไลน์ นอกจากนี้ยังมีข้อสังเกตที่น่าสนใจคือหลังจากที่กลุ่มเป้าหมายเข้าอบรมในโครงการแล้ว เริ่มมีการชักชวนเพื่อนวัยรุ่นที่มีบุตรแล้วมาเข้าอบรมด้วย ทำให้กลุ่มฅนวัยใสมีสมาชิกเพิ่มเติมมากขึ้น

การทำงานกับกลุ่มเป้าหมายเฉพาะกลุ่มอย่างโครงการของกลุ่มฅนวัยใสนี้ จำเป็นจะต้องละเอียดอ่อนและเข้าใจบริบทของกลุ่มเป้าหมายอย่างแท้จริง มิเช่นนั้นอาจเกิดความเสี่ยงที่ทำให้คนกลุ่มนี้ปิดกั้นตัวเองจากการพัฒนาได้ ซึ่งโครงการพัฒนาทักษะอาชีพการประกอบอาหารขนาดย่อมในกลุ่มพ่อแม่วัยรุ่นนี้ ได้ถูกออกแบบและดำเนินงานโดยผู้มีประสบการณ์ ทำให้กลุ่มเป้าหมายสามารถเติมเต็มศักยภาพของตัวเองได้ โดยในอนาคตคนกลุ่มนี้ก็ยังสามารถกลับมาแนะนำรุ่นน้องหรือพ่อแม่วัยรุ่นคนอื่นๆ ได้อย่างเข้าอกเข้าใจสืบต่อไป

สำนักงานพัฒนาชุมชนเปิดโครงการฝึกอบรบการทำไหมมัดหมี่ในอำเภอจัตุรัส เพื่อสืบสานภูมิปัญญา ‘ผ้าชัยภูมิ’

ตามแผนพัฒนาจังหวัดชัยภูมิ พ.ศ.2561-2564 ที่กล่าวถึงการพัฒนาสิ่งทอ เพื่อเพิ่มมูลค่าและประสิทธิภาพให้ชุมชน หน่วยงานที่สามารถเข้ามาสานต่อเรื่องนี้ได้ดีที่สุด คือ สำนักงานพัฒนาชุมชนอำเภอจัตุรัส ที่มีความสามารถในการสนับสนุน ช่วยเหลือ และสามารถแนะนำให้ชุมชนเล็งเห็นถึงศักยภาพในพื้นที่ตนเองได้ ก่อให้เกิดเป็น โครงการการส่งเสริมอาชีพทอผ้าสืบสานภูมิปัญญาท้องถิ่น อำเภอจัตุรัส จังหวัดชัยภูมิ

โครงการการส่งเสริมอาชีพทอผ้าสืบสานภูมิปัญญาท้องถิ่น อำเภอจัตุรัส จังหวัดชัยภูมิ เกิดขึ้นจากการเล็งเห็นว่าชุมชนสามารถเป็นฐานในการพัฒนาอาชีพทอผ้าได้ เนื่องจากอำเภอจัตุรัส จังหวัดชัยภูมิ มีต้นทุนที่สำคัญ 3 ด้าน คือ 1.ด้านความรู้ ชุมชนมีปราชญ์ชาวบ้านที่เชี่ยวชาญเรื่องการทอผ้าไหมสามารถถ่ายทอดความรู้นี้ให้กับคนรุ่นหลังได้เป็นอย่างดี และมีลายผ้าเอกลักษณ์ของชุมชน คือลายมัดหมี่ข้อควบด้ายเป็นจุดขาย นอกจากนี้ยังชุมชนยังมีเครือข่ายการทอผ้าในพื้นที่อีกมากมาย 2.ด้านทรัพยากรในพื้นที่ นับเป็นเรื่องที่ดีที่ชุมชนเป็นแหล่งต้นน้ำของการปลูกหม่อน เลี้ยงไหม และมีความสามารถผลิตเส้นไหมที่มีคุณภาพเองได้ 3.ด้านการพัฒนา ชุมชนมีหน่วยงานพัฒนาการอำเภอจัตุรัสในการเป็นศูนย์กลางประสานงานฝึกอบรม และมีร้านค้า กลุ่มโอทอป และบริษัทเอกชน ในการเป็นพื้นที่กระจายสินค้าได้ รวมถึงชุมชนยังมีภาคีเครือข่ายอีกมากมายที่จะช่วยในการพัฒนาทักษะอาชีพนี้

ในการส่งเสริมอาชีพผ้าทอท้องถิ่น กลุ่มเป้าหมายในโครงการฯ นี้ คือ ผู้ที่มีความพร้อมในการที่จะเข้าร่วมโครงการ ไม่ว่าจะเป็น แรงงานนอกระบบ ผู้ว่างงาน และผู้สูงอายุ จำนวน 50 คน เนื่องจากทักษะการทอผ้านี้เป็นสิ่งที่ชุมชนคุ้นเคยอยู่แล้ว เป็นอาชีพที่สามารถทำเสริมรายได้ ในขณะเดียวกันก็เป็นอาชีพที่ก่อให้เกิดรายได้มากพอที่จะเป็นอาชีพหลักของบางครอบครัวได้ 

สำนักงานพัฒนาชุมชนอำเภอจัตุรัสและชุมชน จึงได้ร่วมพูดคุยและวางแผนร่วมกันว่าจะจัดการเรียนการสอนเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่ 1 การเรียนรู้เรื่องการมัดหมี่และมัดย้อมผ้า ที่ศูนย์เรียนรู้บ้านส้มป่อยและบ้านมะเกลือ และ กลุ่มที่ 2 การเรียนรู้เรื่องการทอผ้า ที่ศูนย์เรียนรู้บ้านส้มป่อย บ้านมะเกลือและบ้านหนองบัวบาน 

เพื่อให้กลุ่มเป้าหมายได้เรียนรู้ในทุกกระบวนการสิ่งทอ ตั้งแต่การเตรียมวัตถุดิบ อุปกรณ์ กระบวนการย้อม กระบวนการมัดย้อม และกระบวรการมัดหมี่ผ้า รวมถึงการให้ความรู้เรื่องการออกแบบบรรจุภัณฑ์ สร้างมาตรฐานผ้าทอชุมชน การตลาดทั้งออนไลน์ออฟไลน์ เพื่อต่อยอดให้ผ้าทอของชุมชนเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย

ในระหว่างที่โครงการส่งเสริมอาชีพทอผ้าสืบสานภูมิปัญญาท้องถิ่น อำเภอจัตุรัส จังหวัดชัยภูมิ กำลังดำเนินการไปอย่างต่อเนื่อง สิ่งที่สังเกตเห็นได้ชัดเป็นการที่คนในชุมชนเป็นส่วนหนึ่งของโครงการฯ มากขึ้น เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์หลักของโครงการคือ การสร้างอาชีพให้กับชุมชน แต่ผลพลอยได้ที่ตามมานั้น เมื่อชุมชนมีอาชีพที่มั่นคงแล้ว ชุมชนก็จะสามารถสืบสานภูมิปัญญาดั้งเดิมของตนเองต่อไปได้ นี่ถือเป็นการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน โดยการมองให้เห็นถึงแก่นแท้ของชุมชนและทำให้คนได้ใช้ประโยชน์จากสิ่งที่ชุมชนตนเองมีอยู่แล้ว

สถาบันไทเลยเพื่อการพัฒนา เปิดหลักสูตรเกษตรอินทรีย์และการย้อมผ้าสีธรรมชาติ สร้างอาชีพให้กับแรงงานด้อยโอกาสในชุมชน

ในปัจจุบันเกษตรกรส่วนใหญ่ในประเทศของเรายังต้องพึ่งพาการใช้สารเคมีในการผลิตพืชผลทางการเกษตร เช่นเดียวกับชุมชนเอราวัณ จังหวัดเลย ซึ่งปัญหาที่เกิดขึ้นจากการใช้สารเคมีคือแม้ว่าการการเกษตรวิธีนี้จะสามารถให้ผลผลิตที่รวดเร็ว แต่กลับส่งผลเสียตามมาอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นด้านสุขภาพ ปัญหาหนี้สิน และความเสื่อมโทรมของทรัพยากรธรรมชาติ

ทั้งข้อเสียในการทำงานรวมถึงราคาของพืชผลทางการเกษตรที่ตกต่ำ ทำให้การลงทุนลงแรงกับอาชีพเกษตรเริ่มไม่ดึงดูดคนรุ่นใหม่ๆ ในชุมชน เยาวชนในพื้นที่ให้ความสนใจกับอาชีพเกษตรกรน้อยลงและเดินทางออกจากชุมชนเพื่อไปหางานในเมืองใหญ่

สถาบันไทเลยเพื่อการพัฒนา(กลุ่มก่อการดีเลย) จังหวัดเลย จึงได้เข้ามามีบทบาทในการพัฒนาอาชีพให้กับเยาวชนเพื่อให้คนกลุ่มนี้กลับมาเป็นแรงงานในท้องถิ่นของตัวเองได้ และจัดทำโครงการส่งเสริมการประกอบอาชีพให้กับเยาวชนวัยแรงงานและผู้ด้อยโอกาสในชุมชนท้องถิ่นโดยมีกลุ่มเป้าหมาย คือ แรงงานนอกระบบ และกลุ่มผู้ด้อยโอกาสในชุมชน จำนวน 50 คน

สถาบันไทเลยเพื่อการพัฒนา(กลุ่มก่อการดีเลย) จังหวัดเลย ลงพื้นที่สำรวจและประเมินศักยภาพชุมชน ทำให้พบว่า เทศบาลตำบลเอราวัณ มี ‘ต้นทุน’ ที่สามารถพัฒนาได้หลายประการ ไม่ว่าจะเป็นการที่คนในชุมชนส่วนมากมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องของการเกษตรเป็นการดี มีภูมิปัญญาท้องถิ่นเรื่องการทอผ้า พื้นที่สาธารณะเพื่อทำการเกษตรร่วมกัน และการที่มีภาคีเครือข่ายที่แน่นแฟ้นทั้งในและนอกชุมชน

ผลจากการสำรวจต้นทุนของชุมชนทำให้โครงการสามารถออกแบบหลักสูตรพัฒนาอาชีพได้ 2 หัวข้อคือ 1.หลักสูตรเพื่อพัฒนาอาชีพด้านเกษตรอินทรีย์ วิถีพอเพียง และ 2.หลักสูตรเพื่อพัฒนาอาชีพด้านการย้อมผ้าสีธรรมชาติ 

หลักสูตรเพื่อพัฒนาอาชีพด้านเกษตรอินทรีย์ วิถีพอเพียง จะทำการอบรมที่ศูนย์ปราชญ์พ่อบัวพันธุ์ ศูนย์การเรียนรู้เกษตรกรรมแบบยั่งยืน จ.หนองบัวลำภู โดยมีรายละเอียดตั้งแต่การปรับวิธีคิดของกลุ่มเป้าหมายให้เกิดความรู้ความเข้าใจในเรื่องการทำเกษตรแบบผสมผสาน การปลูกพืชพรรณตามฤดูกาล ซึ่งส่งผลให้ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาสารพิษยาฆ่าแมลง และยกระดับฝีมือแรงงานให้เป็นเกษตรอินทรีย์ที่ปลอดภัยต่อตัวเองและผู้บริโภค

ส่วน หลักสูตรเพื่อพัฒนาอาชีพด้านการย้อมผ้าสีธรรมชาตินั้น ชุมชนมีพื้นฐานความชำนาญในเรื่องนี้อยู่แล้ว แต่ทางสถาบันไทเลยเพื่อการพัฒนา(กลุ่มก่อการดีเลย) จังหวัดเลย ได้เข้ามาช่วยอบรบในเรื่องของการออกแบบลวดลายผ้ามัดย้อม และเทคนิคการสกัดสีธรรมชาติ เพราะการออกแบบลวดลายมีความสำคัญในการดึงดูดให้คนเข้ามาซื้อ ส่วนการสกัดสีจากธรรมชาติเป็นการช่วยประหยัดต้นทุนและเป็นการใช้วัตถุดิบในชุมชนให้เกิดประโยชน์ ทั้งนี้หลักสูตรยังอบรมเรื่อง การใช้เทคโนโลยีสื่อออนไลน์ เข้ามาเพิ่มมูลค่าของสินค้าและบริการ รวมถึง การทำบัญชีรายรับรายจ่ายด้วย

การแก้ไขปัญหาการด้านแรงงานให้กับชุมชนเอราวัณ จังหวัดเลย โดยการดึงเอาแรงงานที่เป็นเยาวชนเข้ามาฝึกฝนในครั้งนี้ โครงการได้เห็นความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับกลุ่มเป้าหมายอย่างชัดเจน ตั้งแต่การที่กลุ่มเป้าหมายเกิดความสนใจในอาชีพมากขึ้น เห็นความเป็นไปได้ในการมีอาชีพในพื้นที่บ้านเกิด รวมถึงการที่โครงการสามารถสร้างเครือข่ายกับภาคีอื่นๆ ได้เป็นอย่างดี ซึ่งกระบวนการทั้งหมดทำให้เกิดการถอดบทเรียนที่น่าสนใจ และนับว่าเป็นการเริ่มต้นที่จะช่วยสร้างรากฐานการพัฒนาชุมชนโดยคนในชุมชนเองได้เป็นอย่างดี

ทวงคืนบัลลังก์ผลไม้ขึ้นชื่อของจังหวัด วิสาหกิจชุมชนส้มจุกจะนะเปิดโครงการแบ่งปันความรู้การดูแลส้มจุกให้ผู้ด้อยโอกาสในชุมชน

ผลิตภัณฑ์ส้มจุกคือของขึ้นชื่อของอำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา โดยมีการทำสวนส้มพันธุ์นี้มันมาตั้งแต่อดีต ทำให้คนในชุมชนมีความภาคภูมิใจและผูกพันกับผลไม้ชนิดนี้เป็นอย่างมาก เพราะนอกจากจะเป็นส้มชนิดที่ทำให้จังหวัดมีชื่อเสียงแล้ว ยังเป็นผลไม้ที่ช่วยสร้างรายได้ให้กับชุมชนด้วย

กลุ่มวิสาหกิจชุมชนส้มจุกจะนะเป็นกลุ่มที่จัดตั้งขึ้นโดยคนในชุมชน จึงได้ทำการผลักดันในหลายมติ ไม่ว่าจะเป็นการสืบสานภูมิปัญญาการจัดการสวนส้มแบบอินทรีย์ การสงวนรักษาพันธุ์พืชท้องถิ่น และการรักษาคุณภาพของผลิตภัณฑ์ส้มจุกให้มีมาตรฐานเนื่องจากอยู่ระหว่างการขอรับรอง ‘สิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์’ ของอำเภอจะนะ

ภารกิจสำคัญที่เป็นรากฐานของวิสาหกิจชุมชนก็คือการสร้างการมีส่วนร่วมของคนในชุมชน โครงการ ‘พัฒนาทักษะอาชีพการขยายพันธุ์และดูแลสวนส้มจุกชุมชนบ้านแคเหนือ ตำบลแค อำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา’ จึงได้เกิดขึ้นมาเพื่อสนับสนุนแนวทางการพัฒนาในมิตินี้ โดยมีจุดมุ่งหมายคือการสร้างรายได้และเผยแพร่ทักษะภูมิปัญญาการปลูกส้มจุกให้แก่ผู้ด้อยโอกาสในชุมชนจำนวน 50 คน ซึ่งประกอบไปด้วยแรงงานนอกระบบ ผู้ว่างงาน คนพิการ ผู้สูงอายุ และผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ

โครงการพัฒนาทักษะฯ ได้จัดทำหลักสูตรของชุมชนขึ้นมาเพื่อใช้สำหรับการอบรมและดำเนินโครงการภายใต้ชื่อ ‘หลักสูตรการอบรมการขยายพันธุ์และดูแลสวนส้มจุก’ ซึ่งประกอบไปด้วยความรู้และทักษะการปลูกาส้มจุก การขยายพันธุ์ การดูแลพืชและการจัดการสวนส้ม ตลอดจนการเก็บรักษา การตลาด และการจัดจำหนายผ่านสื่อออนไลน์ รวมใช้เวลาอบรมทั้งสิ้น 30 ชั่วโมง

ในช่วงเวลาที่ผ่านมาหลังจากวิสาหกิจชุมชนได้เริ่มฝึกอบรมกลุ่มเป้าหมายทั้ง 50 คนนั้น ก็ได้มีภาพของความก้าวหน้าเกิดเขึ้น โดยผู้รับผิดชอบโครงการได้เล่าให้ฟังว่า “เป้าหมายที่เราขอทำโครงการนี้คือการช่วยเหลือให้ผู้ขาดแคลนทุนทรัพย์และด้อยโอกาส สามารถมาขึ้นทะเบียนเป็นผู้ดูแลสวนส้มจุกของกลุ่มวิสาหกิจชุมชน โดยทางกลุ่มจะจัดหาสวนที่ต้องการผู้ดูแลให้ เพื่อให้ผู้ขาดแคลนทุนทรัพย์และด้อยโอกาสเหล่านี้มีงานและรายได้อย่างต่อเนื่อง”

หลังจากที่โครงการจบลง กลุ่มวิสาหกิจจะเปิดกองทุนสำหรับสมาชิกที่ต้องการขยายพันธุ์และเป็นเจ้าของสวนส้มจุกด้วยตนเอง โดยเป็นกองทุนปลอดดอกเบี้ยสำหรับการลงทุน ซึ่งนับว่าเป็นวิสัยทัศน์อันดีของวิสาหกิจชุมชนที่จะช่วยเสริมสร้างคุณภาพชีวิตของคุณในชุมชน พร้อมๆ กับการอนุรักษ์พืชพรรณที่มีความใกล้ชิดกับอำเภอจะนะให้คงอยู่สืบไปด้วย

โครงการพัฒนาอาชีพที่ถอดบทเรียนจากประสบการณ์ของเพื่อนคนพิการ เพื่อนำมาสอนให้กับคนพิการด้วยกันเอง

มูลนิธิเพื่อพัฒนาคนพิการ คือมูลนิธิที่ทำงานอยู่กับคนพิการในชุมชนบัวใหญ่มาเป็นระยะเวลาหลายสิบปี โดยงานหลักของมูลนิธิคือการช่วยเหลือและสนับสนุนคนพิการให้มีอาชีพ สร้างรายได้เลี้ยงตัวเองและความครัวได้ ซึ่งผลจากข้อนี้ก็จะช่วยให้คนพิการเกิดการยอมรับจากคนในสังคมมากขึ้น เกิดเป็นความภาคภูมิใจในตัวเองและมีสุขภาพจิตที่ดี

ตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมามูลนิธิฯ ได้เห็นความสำเร็จพร้อมๆ กับปัญหาและอุปสรรคในการทำงาน จึงเกิดแนวคิด ‘การถอดบทเรียน’ ขึ้น เพื่อนำไปใช้ประโยชน์สำหรับการพัฒนาร่วมกับคนพิการต่อไปในอนาคต ‘โครงการสร้างพลังคนพิการประกอบอาชีพและสร้างรายได้เครือข่ายกลุ่มคนพิการของเครือข่ายมูลนิธิเพื่อพัฒนาคนพิการ อำเภอบัวใหญ่ จังหวัดนครราชสีมา’ จึงได้ถูกจัดทำขึ้นมาโดยมีเป้าประสงค์เพื่อถอดบทเรียนจากประสบการณ์ของทีมมูลนิธิร่วมกับสมาชิกเหล่าคนพิการ เพื่อให้เกิดเป็นองค์ความรู้สำหรับการต่อยอด

โครงการจึงได้เฟ้นหากลุ่มเป้าหมายจำนวน 150 คน ซึ่งประกอบไปด้วยคนพิการที่มีอาชีพและความถนัดแตกต่างกันออกไป ไม่ว่าจะเป็นการสานเปลยวน การสานหมวก การทอผ้า การมัดหมี่ และการเกษตรกรรมเป็นต้น โดยแนวทางของโครงการจะเป็นการให้กลุ่มคนพิการที่มีประสบการณ์มาแลกเปลี่ยนความรู้และถอดบทเรียนออกมา โดยเจ้าหน้าที่หน่วยงานจะทำการจดบันทึกและร่วมวิเคราะห์ถึงจุดแข็งจุดอ่อน และมีการทำข้อสรุปบทเรียนอาชีพออกมาเพื่อนำไปเป็นเครื่องมือสำหรับการส่งเสริมอาชีพให้กับคนพิการคนอื่นๆ ต่อไป 

การถอดบทเรียน นอกจากจะมีประโยชน์ด้านการบันทึกและสร้างองค์ความรู้ที่ได้มาตรฐานขึ้นมาในชุมชนแล้ว ยังช่วยสร้างแรงบันดาลใจให้กับคนพิการคนอื่นๆ ที่ได้เข้ามารับฟังและแลกเปลี่ยนกันด้วย เพราะกลุ่มสมาชิกของโครงการประกอบไปด้วยคนพิการ 3 กลุ่มใหญ่คือ 1.คนพิการที่ประกอบอาชีพอย่างต่อเนื่องและมีรายได้จากการประกอบอาชีพ 2.คนพิการที่ประกอบอาชีพไม่ต่อเนื่อง 3.คนพิการที่หยุดการประกอบอาชีพ การที่คนพิการในกลุ่มที่ 2 และ 3 ได้เข้ามารับฟังความสำเร็จและแนวทางการประกอบอาชีพจากกลุ่มที่ 1 ก็ย่อมทำให้พวกเขาสามารถสะท้อนตัวตนและเกิดองค์ความรู้ใหม่ๆ รวมถึงกำลังใจในการกลับมาประกอบอาชีพเพื่อยืนให้ได้ด้วยตัวเองอีกครั้ง

การจัดเวทีแลกเปลี่ยนความรู้ทั้งคนที่สำเร็จและคนที่ยังไม่ประสบความสำเร็จ ทำให้เกิดบทเรียนต่างๆ มากมายที่จะสร้างประโยชน์ได้กว้างไปกว่าจำนวนผู้คนในเวทีสนทนา ซึ่งมูลนิธิองก็ยังคงต้องหาแนวทางใหม่ๆ และพยายามเรียนรู้จากคนพิการทุกกลุ่มเพื่อส่งเสริมและผลักดันให้เกิดการประกอบอาชีพและสร้างรายได้ของคนพิการตามศักยภาพของตนเองต่อไป

เมื่อชุมชนบ้านแม่ตาดขาดหนุ่มสาว โครงการเลี้ยงจิ้งโก่งจึงเกิดขึ้นเพื่อสร้างอาชีพให้ผู้สูงวัย

ชุมชนบ้านแม่ตาด ตำบลสันทราย จังหวัดเชียงใหม่ คือชุมชนที่มีวิสาหกิจชุมชนเกษตรอินทรีย์ที่แข็งแรงอย่างวิสาหกิจชุมชนเกษตรอินทรีย์บ้านแม่ตาด ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ทำงานด้านการพัฒนาคุณภาพชีวิตกับคนในชุมชนมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการผลักดันให้เกษตรกรในชุมชนหยุดการใช้สารเคมีทางการเกษตร และเปลี่ยนมาใช้วิถีแบบอินทรีย์เพื่อความยั่งยืนของชีวิต

นอกจากการทำงานเรื่องเกษตรอินทรีย์แล้ว วิสาหกิจชุมชนเกษตรอินทรีย์บ้านแม่ตาดยังมีบทบาทด้านการพัฒนาอาชีพให้กับคนในชุมชนในหลากหลายด้านด้วย โดยล่าสุดวิสาหกิจได้เห็นต้นทุนของพื้นที่คือ ‘พืชที่สามารถใช้เป็นอาหารสำหรับแมลง’ กระจายตัวอยู่ในชุมชนเป็นจำนวนมาก ‘โครงการส่งเสริมการเลี้ยงจิ้งโกร่งคุณภาพต่อยอดอาชีพที่ยั่งยืน’ จึงได้ถูกจัดทำขึ้นมาเพื่อสอดรับกับต้นทุนในชุมชน โดยนอกจากเหตุผลด้านต้นทุนแล้ว การเลี้ยงแมลงยังเป็นอาชีพที่สร้างรายได้ได้ดี เนื่องจากตลาดรับซื้อแมลงยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง

โครงการได้ทำการเฟ้นหากลุ่มเป้าหมายที่มีคุณสมบัติสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ นั่นคือการพัฒนาคุณภาพชีวิตให้กับผู้ด้อยโอกาส โดยเปิดรับสมาชิกเข้ามาได้ถึง 141 คน แบ่งเป็นแรงงานนอกระบบ ผู้สูงอายุ ผู้ว่างงาน ผู้พิการ ผู้ถือบัตรสวัสดิการฯ และสมาชิกกลุ่มวิสาหกิจชุมชน 

โดยหลังจากที่เข้ามาร่วมในโครงการแล้ว สมาชิกทุกคนจะได้รับการพัฒนาองค์ความรู้การเลี้ยงจิ้งโคร่งจากทีมงานผู้เชี่ยวชาญ และจะได้รับการช่วยเหลือในการจัดเตรียมพื้นที่สำหรับการเลี้ยงจิ้งโกร่งอาชีพอย่างถูกวิธีและเหมาะสม มากไปกว่านั้นคือตัวผู้จัดทำโครงการได้มองตลาดล่วงหน้าเอาไว้แล้ว โดนมีการประสานงานกับผู้รับซื้อในหลายๆ จังหวัดใกล้เคียง 

นอกจากการช่วยเหลือเพื่อเตรียมการเบื้องต้นแล้ว โครงการยังได้จัดทำเอกสาร ‘คู่มือการเลี้ยงจิ้งโกร่งฉบับชาวบ้าน’ เพื่อเป็นเครื่องมือให้กับกลุ่มเป้าหมายในการเรียนรู้ ฝึกฝน และทดลองทำจริง หลังจากที่ได้ผ่านการอบรมจากโครงการไปแล้วด้วย ซึ่งหลังจากที่โครงการได้ทยอยดำเนินงาน ก็ได้มีกลุ่มเป้าหลายบางส่วนเริ่มมีการเลี้ยงจิ้งโกร่งเป็นอาชีพกันมากขึ้น ซึ่งโครงการเองก็ได้มีการจัดหาอุปกรณ์ในการประกอบอาชีพเบื้องต้นให้ด้วย

หนึ่งในสมาชิกของโครงการได้เล่าถึงประสบการณ์เริ่มแรกในการเลี้ยงสัตว์เศรษฐกิจตัวนี้ว่า  “ผมมองว่าวิธีการเลี้ยงจิ้งโกร่งไม่ยาก หากทำความเข้าใจกับระบบนิเวศของจิ้งโกร่งได้ก็เลี้ยงได้แล้ว ไม่ต้องออกแรงมาก แต่ต้องให้ความใส่ใจดูแล ตอนนี้เพิ่งเริ่มเลี้ยงยังตัวไม่โตนัก ตั้งเป้าไว้ว่าน่าจะขายได้ประมาณ 1,500-2,000 บาทในรอบแรก และจะลงทุนขยายการเลี้ยงเพิ่มขึ้นแน่นอน โดยจะเป็นผู้เผยแพร่ความรู้ในการเลี้ยงจิ้งโกร่งให้กับชาวบ้านที่สนใจด้วยตัวเองอีกด้วย”

ในขั้นต้นสมาชิกหลายคนยังไม่สามารถนำเอาทักษะการเลี้ยงจิ้งโกร่งมาเป็นอาชีพหลักของตัวเองได้ แต่อย่างน้อยการได้เริ่มต้นเลี้ยงในปริมาณไม่มากก็สามารถเป็นอาชีพเสริมที่ช่วยสร้างรายได้ให้กับครัวเรือนได้ โดยในอนาคตวิสาหกิจชุมชนก็ได้วางแนวทางไว้ว่าจะมีการเสริมความรู้เพิ่มเติมให้กับกลุ่มเป้าหมาย เพื่อพัฒนาผลิตผลให้มีคุณภาพตรงกับความต้องการของตลาดมากขึ้น เช่น การแปรรูปเพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้า เป็นต้น

ปลุกปั้นเครื่องปั้นดินเผาเชียงเครือขึ้นมาใหม่อีกครั้ง ด้วยดินเหนียวพิเศษที่มีแค่ในชุมชนเท่านั้น!

พื้นที่ของตำบลเชียงเครือนั้นมีของดีประจำชุมชนคือ ‘ดินเหนียว’ คุณภาพดีที่มีความเหมาะสมต่อการนำไปประดิษฐ์เป็นเครื่องปั้นดินเผาซึ่งมีคุณสมบัติคงทน ไม่แตกร้าวง่าย จากทรัพยากรอันพิเศษนี้ทำให้ชุมชนในพื้นที่มีภูมิปัญญาการปั้นเครื่องปั้นดินเผาเพื่อใช้ในครัวเรือนและเพื่อการค้า

เทศบาลตำบลเชียงเครือ ในฐานะองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นได้เล็งเห็นข้อได้เปรียบของคนในชุมชน ทั้งด้านของต้นทุนวัตถดิบที่มีความพิเศษกว่าพื้นที่อื่น รวมถึงภูมิปัญญาที่ส่งต่อกันมาผ่านรุ่นสู่รุ่น จึงได้จัดทำโครงการขึ้นมาเพื่อส่งเสริมให้ภูมิปัญญานี้สร้างอาชีพได้อย่างจริงจังภายใต้ชื่อ ‘โครงการส่งเสริมอาชีพเครื่องปั้นดินเผาตำบลเชียงเครือ’

ภายหลังการจัดตั้งโครงการขึ้นมา เทศบาลก็ได้ลงพื้นที่เพื่อค้นหาสมาชิกที่เป็นกลุ่มเป้าหมาย คือเหล่าคนด้อยโอกาสในชุมชน โดยอาศัยการมีส่วนร่วมจากคนในพื้นที่ประกอบไปกับการเทียบเคียงข้อมูลจากภาครัฐเพื่อคัดสรรบุคคลที่เหมาะสมกับโครงการจริงๆ โดยท้ายที่สุดก็ได้สมาชิกเข้ามาร่วมโครงการครบ 60 คน ตามเป้าที่ตั้งไว้ ประกอบด้วยแรงงานนอกระบบ 31 คน ผู้ว่างงาน 8 คน ผู้สูงอายุ 9 คน คนพิการ 3 คน ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 7 คน และอื่นๆ 2 คน

เมื่อได้สมาชิกตามเป้าแล้ว โครงการก็ได้พัฒนาหลักสูตรร่วมกับมหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนครจนได้กระบวนการฝึกอบรมที่มีมาตรฐาน ตั้งแต่ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการปั้นเครื่องปั้นดินเผา การออกแบบ การสร้างสรรค์ลวดลายใหม่ๆ การสร้างเครือข่าย และการวิเคราะห์ตลาดเครื่องปั้นดินเผา โดยตลอดหลักสูตรจะได้เวลา 198 ชั่วโมงในการอบรม ซึ่งนับว่าเป็นหลักสูตรที่เข้มข้นซึ่งสามารถนำไปประกอบอาชีพได้จริงภายหลังจากที่ผ่านการอบรม

นอกเหนือไปจากหลักสูตรพัฒนาทักษะอาชีพแล้ว โครงการยังมีการเสริมสร้างทักษะแบบ Soft skill เช่น ทักษะการทำงานเป็นทีม การบริหารจัดการทรัพยากรที่มีจำกัด ทักษะการแก้ปัญหา และทักษะการสื่อสารเพื่อจัดการงานให้บรรลุความสำเร็จด้วย ซึ่งทักษะเหล่านี้นับว่าเป็นสิ่งจำเป็นในศตวรรษที่ 21 เนื่องจากเป็นทักษะที่เสริมสร้างทัศนคติที่ดี และช่วยให้การทำงานมีความลื่นไหล

โครงการส่งเสริมอาชีพได้ดำเนินงานมาแล้วเป็นระยะเวลาหนึ่งและพบว่าสมาชิกที่เข้าร่วมทั้ง 60 คน มีความตั้งใจและกระตือรือร้นในการฝึกฝนอบรมและเก็บเกี่ยวความรู้อย่างเต็มที่ ทำให้หลักสูตรที่จัดขึ้นโดยเทศบาลในครั้งนี้นับว่าประสบความสำเร็จในขั้นต้น นั่นคือการสร้างมาตรฐานของคนที่จะกลายมาเป็นผู้ผลิตเครื่องปั้นดินเผาและช่วยสืบสานภูมิปัญญานี้ให้คงอยู่สืบต่อไปในชุมชน ซึ่งนอกจากจะมีความสำคัญด้านวัฒนธรรมแล้ว ยังเป็นทักษะที่สร้างรายได้ให้กับคนรุ่นต่อๆ ไปได้อย่างยั่งยืน

เปลี่ยนอดีตนักโทษให้เป็นผู้ประกอบการรุ่นใหม่! ด้วยการเปิดคอร์สอบรมทักษะสำหรับศตวรรษที่ 21 ในทัณฑสถานฯ ลำปาง

ในฐานะของหน่วยงานด้านการศึกษาที่สำคัญในพื้นที่ มหาวิทยาลัยราชภัฏลำปางจึงได้มีการร่วมงานกับทัณฑสถานในพื้นที่มาอย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นส่วนสำคัญในการฝึกฝนทักษะทางอาชีพให้กับผู้ต้องขัง รวมถึงส่งเสริมนิสัยรักการทำงาน เพื่อเป็นจุดตั้งต้นสำหรับการออกไปประกอบอาชีพจริงภายหลังการปล่อยตัว

โลกในปัจจุบันมีความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทำให้มีองค์ความรู้ใหม่ๆ เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา ซึ่งกลุ่มผู้ต้องโทษในเรือนจำอาจจะไม่มีโอกาสได้เข้าถึงสิ่งใหม่เหล่านั้น ทำให้อดีตผู้ต้องขังต้องประสบปัญหาในการเริ่มต้นชีวิตการทำงาน เกิดความเสี่ยงในการกลับเข้าสู่วงจรเดิม การนำเอาความรู้และทักษะของยุคสมัยปัจจุบันเข้าไปฝึกสอนในทัณฑสถานจึงเป็นเรื่องสำคัญที่จะป้องกันการกระทำผิดซ้ำได้

มหาวิทยาลัยราชภัฏลำปางจึงได้จัดทำโครงการร่วมกับทัณฑสถานบำบัดพิเศษลำปางขึ้น ในชื่อ ‘โครงการพัฒนาทักษะอาชีพการเป็นผู้ประกอบการยุคใหม่ของผู้ต้องขังทัณฑสถานบำบัดพิเศษ ลำปาง’ เพื่อเป็นการขับเคลื่อนการฝึกฝนทักษะอาชีพยุคใหม่ให้กับผู้ต้องโทษ โดยอิงจากเรื่องและประเด็นที่กลุ่มเป้าหมายมีความถนัดและให้ความสนใจ

กลุ่มเป้าหมายของโครงการประกอบไปด้วยผู้ต้องขังในทัณฑสถานบำบัดพิเศษ จำนวน 100 คน แบ่งเป็นผู้ต้องขังในเรือนจำ 70 คน และผู้ต้องขังเตรียมความพร้อมก่อนปล่อย 30 คน โดยสมาชิกทุกคนจะได้รับการพัฒนาศักยภาพในการเป็นผู้ประกอบการยุคใหม่ให้กับกลุ่มป้าหมาย โดยมีการต่อยอดความถนัดและทักษะต่างๆ ให้เหมาะสมกับธุรกิจในโลกยุคใหม่ โดยแบ่งได้เป็นหลายอาชีพ เช่น กลุ่มอาชีพรับจ้าง อาชีพขับรถ อาชีพเลี้ยงสัตว์ อาชีพอิสระ อาชีพทางการเกษตร และกลุ่มอาชีพด้านช่างต่าง

หลักสูตรการอบรมที่มหาวิทยาลัยได้จัดทำขึ้นครอบคลุมตั้งแต่ระดับต้นน้ำ กลางน้ำ ไปจนถึงปลายน้ำ ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ การเขียนแผนธุรกิจ การพัฒนาผลิตภัณฑ์ และทักษะการเป็นผู้ประกอบการยุคใหม่ อาทิ การใช้เทคโนโลยีดิจิทัล การใช้โซเชียลมีเดียในการตลาด โดยตลอดหลักสูตรจะมีการสอดแทรกแนวคิดด้านคุณธรรมและวิถีพอเพียงเข้าไป เช่น การดำรงชีวิตตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง ความซื่อสัตย์สุจริต ความอดทนพากเพียร เป็นต้น

โครงการได้เริ่มต้นกำนินมาแล้วระยะเวลาหนึ่ง ทำให้ได้เห็นความปลี่ยนแปลงของกลุ่มเป้าหมายซึ่งพบว่าผู้ต้องโทษได้มีแรงจูงใจในการประกอบอาชีพและมีทัศนคติที่ดีต่ออนาคตภายหลังการพ้นโทษ หลักสูตรการเป็นผู้ประกอบการยุคใหม่ จึงมีบทบาทอย่างยิ่งในการสร้างกำลังใจและสร้างแนวทางการประกอบอาชีพที่เท่าทันยุคสมัย และเปิดโอกาสให้ผู้ต้องโทษมีทางเลือกด้านอาชีพที่หลากหลาย ซึ่งเกิดจากความชอบและความถนัดของตนอย่างแท้จริง ซึ่งนับว่าเป็นจุดเริ่มต้นอันสำคัญที่จะช่วยให้กลุ่มเป้าหมายกลุ่มนี้สามารถกลับมาใช้ชีวิตในสังคมได้อย่างมีคุณภาพและมีความมั่นคงทางร้ายได้จากอาชีพสุจริต

ศูนย์ฝึกอบรมเกษตรผสมผสานบ้านโนนรัง-บูรพา เปิดคอร์สสอนทักษะอาชีพหลากหลายรูปแบบ เพื่อช่วยดึงศักยภาพของแรงงานด้อยโอกาสให้นำออกมาใช้อย่างเต็มที่

จากการวิเคราะห์ชุมชนของศูนย์ฝึกอบรมเกษตรผสมผสานบ้านโนนรัง-บูรพา จังหวัด นครราชสีมา พบว่าประชากรในพื้นที่ตำบลตลาดไทรและตำบลโนนตูม ซึ่งเห็นพื้นที่ดูแลของศูนย์ฝึกนั้น กำลังประสบปัญหาภัยแล้งอย่างต่อเนื่อง ทำให้เกษตรกรสร้างผลผลิตได้น้อยลง ส่งผลต่อมาเป็นความขาดแคลนด้านรายได้ทำให้หลายครัวเรือนกำลังอยู่ในภาวะที่ฝืดเคือง

ในฐานะที่เป็นหน่วยงานด้านการพัฒนาในพื้นที่ศูนย์ฝึกอบรมเกษตรผสมผสานบ้านโนนรัง-บูรพา จึงได้เร่งรุดเข้าไปช่วยเหลือ โดยดึงต้นทุนของชุมชนอย่าง ‘ศูนย์เรียนรู้ปราชญ์ชาวบ้าน’ เข้ามาเป็นภาคีหลักในการขับเคลื่อนและพัฒนาชุมชน และจัดทำ ‘โครงการเสริมสร้างทักษะพัฒนาอาชีพสู่ความยั่งยืน’ โดยมุ่งเน้นการพัฒนาตั้งแต่ระดับต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ เพื่อผลิตแรงงานฝีมือที่ครบวงจรอย่างแท้จริง

กลุ่มเป้าหมายของโครงการคือผู้ด้อยโอกาสในชุมชนจำนวน 50 คน ซึ่งประกอบไปด้วยแรงงานนอกระบบ 16 คน ผู้ว่างงาน 3 คน ผู้สูงอายุ 22 คน ผู้พิการ 5 คน และผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 4 คน โดยมีการลงพื้นที่ค้นหากลุ่มเป้าหมายผู้ด้อยโอกาสตัวจริงผ่านการร่วมงานกับผู้นำชุมชน และมีการสัมภาษณ์พูดคุยกับกลุ่มเป้าหมายทีละคนเพื่อเฟ้นหาคนที่มีคุณสมบัติตามเกณฑ์จริงๆ เข้ามาเป็นสมาชิก

 

 

ศูนย์ฝึกฯ ได้ออกแบบการเรียนรู้ออกมาเป็นหลากหลายฐานอาชีพตามความสนใจของสมาชิก ไม่ว่าจะเป็นการขยายพันธุ์ผักหวานป่า การเพาะปลูกกล้วย การเพาะขยายพันธุ์ปลา การเลี้ยงไก่อินทรีย์ การเพาะปลูกสมุนไพร การปลูกกล้วย รวมถึงการแปรรูปเพื่อต่อยอดผลผลิตทางการเกษตรให้มีมูลค่ามากขึ้น รวมกว่า 30 ฐานอาชีพ

หลังจากที่ได้มีการฝึกฝนอบรมไปในระยะหนึ่งกลุ่มก็ได้มีการลงมติเลือกอาชีพที่จะนำไปต่อยอดต่อ 3 อาชีพคือ 

  1. การขยายพันธุ์พืช
  2. การทำกล้วยฉาบ
  3. การทำเค้กกล้วยหอม

เนื่องจากเป็นทักษะที่สร้างรายได้ได้ง่าย และไม่ต้องใช้ทักษะที่ซับซ้อน ขณะเดียวกันทักษะอาชีพกว่า 30 รูปแบบที่เคยได้มีการฝึกฝนไปแล้วก็จะยังทำควบคู่ไปด้วย

หนึ่งในเจ้าหน้าที่โครงการได้เล่าให้ฟังถึงความก้าวหน้าของกลุ่มเป้าหมายว่า “หลังจากที่ได้จัดโครงการนี้ขึ้นมาเราก็พยายามไปพูดชักชวนกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งมีบางกลุ่มที่ไม่เคยเข้าร่วมกิจกรรมใดๆ ของชุมชนเลยเพราะไม่มีความมั่นใจในตัวอง แต่เราก็สามารถดึงให้เขาเปิดใจและลองมาเข้าร่วมอบรมได้ ซึ่งนับว่าเป็นความสำเร็จที่หลังจากจบหลักสูตรสมาชิกมีความกระตือรือร้นที่จะนำเอาทักษะที่เรียนรู้ไปประกอบอาชีพที่ต่อ”

การที่โครงการมีภาคีสนับสนุนอย่างปราชญ์ชุมชน นับว่าเป็นต้นทุนที่มีมูลค่าอย่างยิ่งเนื่องจากเป็นทีมบุคคลากรที่เข้าใจปัญหาของชุมชนอย่างแท้จริง และมองเห็นแนวทางการพัฒนาที่เกิดจากฐานของชุมชนได้อย่างชัดเจน การที่กลุ่มเป้าหมายทั้ง 50 คนได้มีความกระตือรือร้นในการสืบสานอาชีพต่อเนื่องและมีการผลิตสินค้าของชุมชนออกมาจำหน่าย เป็นบทพิสูจน์ที่ดีว่าโครงการได้ช่วยสร้างประโยชน์ให้กับชุมชนอย่างเป็นรูปธรรม

วิสาหกิจชุมชนแม่ทา SE ผนึกความร่วมมือกับ 4 วิสาหกิจชุมชนใกล้เคียง เพื่อฝึกทักษะแรงงานด้อยโอกาสตามความถนัด ช่วยสร้างความมั่นคงทางอาชีพ

บริเวณพื้นที่ลุ่มน้ำแม่ทามีประชากรที่ประกอบอาชีพอยู่ 2 รูปแบบ คือทำงานในภาคการเกษตรและเป็นแรงงานในภาคอุตสาหกรรม แต่ในช่วงเวลาที่ผ่านมาผลผลิตทางการเกษตรมีราคาตกต่ำ รวมถึงกลุ่มทุนในอุตสาหกรรมก็เริ่มย้ายฐานการผลิตไปยังพื้นที่อื่น ส่งผลต่อมาเป็นความเดือดร้อนของประชาชนในพื้นที่ ซึ่งทำให้วิสาหกิจแม่ทา SE ได้เริ่มคิดหาหนทางในการช่วยรับมือกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับคนในชุมชน

สิ่งที่วิสาหกิจชุมชนได้สร้างเป็นแนวความคิดตั้งต้นคือ ‘การจะรับมือต่อความเปลี่ยนแปลงและผันผวนของปัจจัยภายนอกให้ได้ เราต้องมีความเข้มแข็งจากภายในเสียก่อน’ หรือก็คือกลุ่มประชากรในพื้นที่ควรจะต้องสร้างรายได้จากทรัพยากรที่เป็นต้นทุนของชุมชนเองให้ได้ และต่อยอดไปสู่การเชื่อมโยงเครือข่ายภายในชุมชนเพื่อให้เกิดความเข้มแข็ง ซึ่งในจุดนี้วิสาหกิจชุมชนจึงเข้ามามีบทบาทในการช่วยประสานสิ่งที่ชุมชนต้องการผ่านการร่วมมือกับอีก4 วิสาหกิจชุมชนใกล้เคียงคือ วิสาหกิจชุมชนผ้าทอกะเหรี่ยงแม่ขนาด กลุ่มสวนอินทรีย์ฟ้ารักษ์ดิน และวิสาหกิจวิถีมอญหนองดู่

จากแนวคิดนี้วิสาหกิจชุมชนจึงได้ลงพื้นที่ไปสำรวจกลุ่มเป้าหมายจำนวน 60 คน ซึ่งประกอบไปด้วยเหล่าสตรีกลุ่มชาติพันธุ์ปกาเกอะญอ ผู้สูงอายุ เกษตรกรในชุมชน และคนุร่นใหม่ โดยคนในกลุ่มนี้จะสามารถเลือกเข้ารับการอบรมพัฒนาอาชีพตามความสนใจของตนเองได้ตาม 4 ทักษะอาชีพดังนี้
  1. การพัฒนาทักษะการทำผ้าทอกะเหรี่ยง
  2. การพัฒนาทักษะอาชีพที่เหมาะกับผู้สูงอายุซึ่งสัมพันธ์กับวิถีมอญ
  3. การพัฒนาทักษะอาชีพที่เหมาะกับเกษตรกรซึ่งสัมพันธ์กับวิถีลุ่มน้ำ
  4. การพัฒนาทักษะด้านการเป็นผู้ประกอบการเพื่อสังคมรุ่นใหม่

หลังจากที่โครงการได้ดำเนินงานมาระยะนึงแล้ว เจ้าหน้าที่ก็ได้พบความก้าวหน้าของกลุ่มเป้าหมายในหลายด้าน เช่น มีทักษะของผู้ประกอบการมากขึ้น มีการรวมกลุ่มที่ช่วยสร้างความมั่นใจในการพัฒนาอาชีพ มีการหันกลับมามองต้นทุนของชุมชน เช่น การปลูกผักกินเอง การทำเกษตรอินทรีย์ รวมถึงทางโครงการก็ได้เห็นศักยภาพของกลุ่มเป้าหมายบางคนที่สามารถพัฒนาไปสู่การเป็นแกนนำของกิจกรรมต่อไปในอนาคตได้

แนวคิดการกลับมาต่อยอดและสร้างรายได้จากต้นทุนเดิมของชุมชนเป็นแนวคิดที่ส่งเสริมความยั่งยืนให้กับคนในพื้นที่ แต่สิ่งที่สำคัญและควบคู่มาด้วยก็คือการปกปักรักษาต้นทุนเหล่านี้ให้งอกงามสืบต่อไป ซึ่งต้องติดตามกันต่อไปว่าหลังจากที่กลุ่มสมาชิกได้ผ่านการฝึกฝนอบรมตามหลักสูตรที่ตนเองสนใจเสร็จเรียบร้อยแล้ว พวกเขาจะสามารถยกระดับคุณภาพชีวิตและคุณภาพของชุมชนไปในทิศทางใดบ้าง

กศน.อำเภอภูซางฟื้นฟูทักษะการผลิตผ้าที่เป็นอัตลักษณ์ของกลุ่มสตรี สร้างอาชีพ เสริมความแข็งแกร่งให้กับกลุ่มชาติพันธุ์ในจังหวัดพะเยา

พื้นที่ในอำเภอภูซาง จังหวัดพะเยา คือพื้นที่ที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมและกลุ่มชาติพันธุ์เป็นอย่างมาก เนื่องจากเป็นชุมชนชาวลาวที่อพยพย้ายถิ่นฐานมา ซึ่งประชากรแต่ละกลุ่มในพื้นที่ก็มีทั้งปัญหาและความต้องการที่แตกต่างกัน แต่มีจุดร่วมที่คล้ายคลึงกันคือมีกลุ่มคนด้อยโอกาสและขาดแคลนทุนทรัพย์กระจายตัวอยู่ในหลายชุมชน โครงการพัฒนาอาชีพการผลิตผ้าของสตรีภูซาง ได้มุ่งเป้าไปที่กลุ่มสตรีซึ่งมีทักษะที่เป็นจุดแข็งหลายประการ เช่น ทักษะพื้นฐานการทอผ้า ทักษะการเขียนเทียน รวมถึงความสามารถในการหาซื้อวัตถุดิบราคาถูกจากประเทศเพื่อนบ้าน ทว่าทักษะสำคัญที่หลายคนในชุมชนยังขาดอยู่คือการพัฒนาผลิตภัณฑ์ การพัฒนาวัตถุดิบ และการทำการตลาด 

โครงการพัฒนาอาชีพฯ จึงได้เกิดขึ้นเพื่อเข้ามาช่วยสนับสนุนและเติมเต็มทักษะที่ขาดของสตรีใน 3 พื้นที่ของอำเภอภูซาง คือ 1.ชุมชนบ้านฮวก 2.ชุมชนบ้านคอดยาว 3.ชุมชนบ้านใหม่รุ่งทวี

หลังจากที่ได้ทำการลงพื้นที่สำรวจความต้องการและจุดเด่น-จุดด้อยในด้านทักษะอาชีพของประชากรทั้ง 3 พื้นที่ กศน.ภูซางจึงได้ออกแบบแนวทางการพัฒนาทักษะขึ้นมาเป็น 3 รูปแบบคือ

  1. กลุ่มฝึกฝนทักษะการทอผ้า
  2. กลุ่มฝึกทักษะเขียนเทียนผ้าม้ง
  3. กลุ่มฝึกทักษะปักผ้าม้ง

และได้ทำการรับสมัครสมาชิกเข้ามาทั้งสิ้น 50 คน เพื่อทำการอบรมเป็นกลุ่มแรก

เมื่อโครงการได้ดำเนินไปแล้วระยะหนึ่ง เจ้าหน้าที่ก็ได้เห็นความก้าวหน้าด้านทักษะฝีมือของกลุ่มสมาชิกที่มีความชำนาญขึ้น เห็นความสำคัญในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ของชุมชนร่วมกัน มีความภาคภูมิใจในผลงานของตัวเองมากขึ้น และหันมาสนใจเกี่ยวกับการค้าขายออนไลน์เพื่อสร้างรายได้มากขึ้นด้วย

หนึ่งในสมาชิกกลุ่มเขียนเทียนผ้าม้งได้เล่าถึงสิ่งที่เรียนรู้จากการฝึกอาชีพกับโครงการไว้ว่า “หลังจากที่ได้เข้ามาในโครงการ ก็ได้เห็นถึงกลไกลของการขยายกิจการหรือธุรกิจที่สร้างจากผลิตภัณฑ์ในชุมชนมากขึ้น ซึ่งสามารถช่วยให้คนในชุมชนมีรายได้เพิ่มมากขึ้นด้วย นอกจากนี้โครงการก็ได้สอนบางทักษะที่เราไม่รู้มากก่อนอย่างเช่นการออกแบบและแปรรูปผลิตภัณฑ์ในชุมชนให้เป็นที่สนใจของคนอื่นๆ ในสังคม”

“กิจกรรมที่ประทับใจมากที่สุดจึงเป็นทักษะที่เจาะลึกด้านการแปรรูปผลิตภัณฑ์ให้เป็นที่ต้องการของคนภายนอก เราเลยรู้สึกว่าโครงการนี้เป็นโคโครงการนี้เป็นโครงการที่เปิดช่องทางให้เราต่อยอดสินค้าจากชุมชนตัวเอง และพามันออกไปได้ไกลมากขึ้น รวมถึงทำให้คนในชุมชนเริ่มหันมาทำงานร่วมกัน สร้างความสามัคคีในกลุ่มกันมากขึ้นด้วย”

หลังจากที่โครงการได้เข้ามาช่วยเหลือด้านการฝึกฝนทักษะความสามารถ กลุ่มสมาชิกจากทั้ง 3 ชุมชนก็เริ่มมีความเข้มแข็งและเป็นปึกแผ่นกันมากขึ้น เป้าหมายต่อไปของโครงการจึงเป็นการรวมกลุ่มเครือข่ายผลิตภัณฑ์ผ้าในอำเภอภูซาง เพื่อยกระดับโครงการให้มีเครือข่ายที่กว้างขวางและช่วยกันเอื้อประโยชน์ให้งานผ้าจากภูซางมีชื่อเสียงและเป็นที่ต้องการของตลาดมากยิ่งขึ้น รวมถึงขีดความสามารถในการถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านวัฒนธรรมนี้ให้กับคนรุ่นใหม่ เพื่อสืบทอดและสืบสานผ้าทอจากภูซางต่อไป

วิทยาลัยชุมชนน่าน เปิดหลักสูตรนวดไทยเพื่อสุขภาพให้กับผู้ด้อยโอกาสและผู้ถูกคุมประพฤติ สร้างอาชีพหมอนวดที่สอดคล้องกับการเติบโตของจังหวัดน่าน

โครงการการส่งเสริมอาชีพนวดไทยเพื่อสุขภาพ เป็นโครงการที่จัดขึ้นโดยวิทยาลัยชุมชนน่าน เพื่อสร้างงานสร้างอาชีพให้กับคนสองกลุ่มคือแรงงานนอกระบบและอดีตผู้ต้องโทษ สาเหตุที่ต้องเป็นวิชาชีพนวดแผนไทยก็เนื่องมาจากว่าจังหวัดน่านเป็นจังหวัดท่องเที่ยว ทำให้ธุรกิจเกี่ยวกับความเป็นไทยและสุขภาพอย่างการนวดไทยเป็นที่นิยมอย่างมาก โดยเฉพาะกับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ วิทยาลัยชุมชนน่านจึงได้เล็งเห็นถึงช่องทางอาชีพที่สร้างรายได้ได้จริงจึงริเริ่มโครงการนี้ขึ้นมา

อย่างที่กล่าวไว้ในข้างต้นว่ากลุ่มเป้าหมายของโครงการนี้มีอยู่ 2 กลุ่มหลักๆ โดยกลุ่มแรกคือแรงงานนอกระบบ มีจำนวนทั้งสิ้น 20 คน ส่วนใหญ่แล้วจะมีอาชีพรับจ้างและเกษตรกร โดยผู้เข้าร่วมบางส่วนมีทักษะการนวดอยู่แล้ว แต่มาเข้าร่วมเพราะต้องการที่จะต่อยอดทักษะจนได้ใบประกอบวิชาชีพ ส่วนอีกกลุ่มที่เป็นอดีตผู้ต้องโทษ มีจำนวนทั้งสิ้น 30 คน ซึ่งเป็นกลุ่มที่ไม่มีประสบการณ์ด้านการนวดมาก่อน แต่มีความพร้อมและกระตือรือร้นในการฝึกฝนกับโครงการเพื่อที่จะได้กลับออกมาใช้ชีวิตโดยมีอาชีพที่มั่นคง

แผนการพัฒนาที่โครงการได้จัดทำขึ้นแบ่งออกได้เป็น 3 ส่วนคือ 

  1. หลักสูตรการนวดไทยเพื่อสุขภาพ 
  2. การบริหารจัดการธุรกิจ 
  3. การตลาดออนไลน์ 

ทั้งสามส่วนนี้นับว่าเป็นหลักสูตรที่นอกจากจะสร้างทักษะอาชีพให้กับสมาชิกแล้ว ยังเสริมทักษะของผู้ประกอบการให้อีกด้วย ซึ่งแน่นอนว่าวันหนึ่งย่อมสามารถสร้างประโยชน์ให้กับผู้เรียนได้ 

ในช่วงแรกที่โครงการเริ่มต้นกลุ่มเป้าหมายบางคนยังไม่ค่อยเปิดใจและกระตือรือร้นมากนัก แต่พอเห็นว่าการเข้าฝึกอบรมนี้จะช่วยสร้างอาชีพและสร้างงานได้จริงจึงค่อยๆ เปิดใจและตั้งใจฝึกฝนมากยิ่งขึ้น จนสมาชิกทั้ง 50 คนสามารถมองเห็นเป้าหมายการพัฒนาทักษะร่วมกัน ทำให้การฝึกฝนอบรมเป็นไปอย่างราบรื่นมากขึ้น

หลังจากนี้จึงน่าติดตามดูกันต่อไปว่าช่องทางการประกอบอาชีพที่โครงการได้เปิดเอาไว้ให้กับสมาชิกที่เข้ามาอบรม จะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของกลุ่มเป้าหมายได้มากน้อยอย่างไร ไม่ว่าจะเป็นช่องทางของผู้ประกอบการร้านนวด การเป็นหมอนวดที่ดูแลคนในชุมชน การเป็นหมอนวดตามร้านของผู้ประกอบการ รวมไปถึงการไปทำงานนวดในต่างประเทศที่สามารถทำได้อย่างถูกกฎหมาย หลังจากจบหลักสูตรของโครงการไปแล้ว

ศูนย์เรียนรู้บ้านโนนพริก แก้ปัญหาขาดแคลนพืชผักและเนื้อสัตว์ที่ปลอดภัยในชุมชน ด้วยการยกระดับทักษะของเกษตรกรจากกลุ่มผู้ด้อยโอกาส

ศูนย์เรียนรู้ปราชญ์ชาวบ้าน (บ้านโนนพริก) คือแหล่งเรียนรู้ที่ทำงานอยู่กับชุมชนในจังหวัดขอนแก่นมาเป็นระยะเวลานาน โดยที่ผ่านมาก็ได้มีการฝึกฝนอบรมสร้างงานสร้างอาชีพให้กับคนในชุมชนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งศูนย์เรียนรู้แห่งนี้มีจุดแข็งอยู่ตรงที่มีภาคีเครือข่ายกว้างขวางทั้งหน่วยงานภาครัฐละเอกชน ทำให้สามารถบูรณาการความร่วมมือได้หลายมิติเพื่อช่วยแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในชุมชน

ในช่วงเวลาที่ผ่านมาศูนย์เรียนรู้ฯ บ้านโนนพริกพบว่าคนในพื้นที่อำเภอพล จังหวัดขอนแก่นได้ประสบกับการขาดแคลนผลผลิตทางการเกษตรและเนื้อสัตว์ ทำให้ชุมชนต้องใช้วิธีการซื้อผลผลิตจากพื้นที่ข้างนอก ส่งผลให้เม็ดเงินรั่วไหลจากพื้นที่ไปอย่างน่าเสียดาย ศูนย์เรียนรู้ปราชญ์ชาวบ้านบ้านโนนพริก จึงได้จัดทำโครงการที่จะช่วยสร้างแรงงานด้านการเกษตรที่มีคุณภาพออกมาเพิ่มขึ้น เพื่อเพิ่มจำนวนผู้ผลิตและผลผลิตให้มีเพียงพอสำหรับการบริโภคในชุมชน

โครงการนี้ประจวบเหมาะกับแนวทางพัฒนาของตัวอำเภอเองที่เล็งเห็นจุดเด่นของอำเภอที่มีที่ตั้งทางภูมิศาสตร์เป็นศูนย์กลางในการทำการค้าของอำเภอใกล้เคียง โดยมีเป้าหมายในการสร้างเกษตรกรรายใหม่ในโครงการเกษตรอินทรีย์ แต่ที่ผ่านมาก็ยังไม่สามารถที่จะยกระดับพืชผลและสัตว์เกษตรอินทรีย์ให้มีปริมาณและคุณภาพได้ตามความต้องการของผู้บริโภค ศูนย์เรียนรู้ปราชญ์ชาวบ้าน (บ้านโนนพริก) จึงได้รับแรงสนับสนุนจากอำเภอในการจัดทำโครงการนี้อย่างเต็มที่ในการพัฒนาเพื่อไปสู่เป้าหมายร่วมกัน

กลุ่มเป้าหมายของโครงการเป็นแรงงานนอกระบบจำนวน 20 คน ผู้ว่างงาน 11 คน ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 2 คน รวมกับกลุ่มวิสาหกิจชุมชนอีก 17 คน รวมทั้งสิ้น 50 คน ซึ่งหลังจากที่ได้สมาชิกมาร่วมโครงการครบตามเป้าหมายแล้ว ก็ได้ทำการสำรวจความต้องการของคนกลุ่มนี้อีกครั้งว่าพวกเขาสนใจฝึกฝนทักษะอาชีพด้านใดบ้าง โดยสมาชิกทุกคนมีความสนใจการเรียนรู้รูปแบบของเกษตรสมัยใหม่ที่จะช่วยสร้างรายได้ให้กับพวกเขามากขึ้น

ทีมงานของศูนย์เรียนรู้ปราชญ์ชาวบ้านบ้านโนนพริก จึงได้ออกแบบการเรียนรู้โดยใช้กลุ่มเป้าหมายเป็นศูนย์กลางและได้หลักสูตรที่ครอบคลุมความต้องการของพวกเขา ไม่ว่าจะเป็นการยกระดับการประกอบอาชีพเสริมด้วยเทคโนโลยีเกษตรผสมผสานระบบอินทรีย์ การออกแบบแปลงในสภาพแวดล้อมระบบอินทรีย์ การตรวจสอบค่าของน้ำและการให้น้ำที่เหมาะสม การเพาะกล้า การปลูกพืช การผลิตและการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ การใช้และผลิตอาหารสัตว์ รวมถึงการเสริมสร้างทัศนคติการดำเนินชีวิต

หลังจากที่โครงการได้ดำเนินงานมาเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้ว สมาชิกก็ได้มีความก้าวหน้าในเชิงองค์ความรู้และทักษะกว่าตอนก่อนเข้าร่วมโครงการ เช่นการมีความรู้และทักษะมากขึ้นในการประกอบอาชีพเสริม อย่างเช่น ปลูกผัก เลี้ยงปลานิล โดยใช้องค์ความรู้ที่ได้รับจากการฝึกอบรม เช่น การทำปุ๋ยอินทรีย์ การเพาะกล้า การทำแปลงปลูกผัก การดูแล รักษาเลี้ยงสัตว์เบื้องต้น เป็นต้น

นอกจากนี้ในด้านของทัศนคติ สมาชิกโครงการก็มีความเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นคือมีความตั้งใจ กระตือรือร้น อดทน มุ่งมั่น และขยันในการเรียนรู้และลงพื้นที่ดำเนินกิจกรรมที่แปลงของตนเองอย่างต่อเนื่อง นี่จึงนับว่าเป็นความก้าวหน้าที่สำคัญซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงประสิทธิภาพและความสามารถของหน่วยงานพัฒนาที่มีบทบาทในการแก้ปัญหาของชุมชน และช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในชุมชนให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น

วิทยาลัยชุมชนมุกดาหาร จับนวดไทยมาสอนคนตำบลร่มเกล้า เตรียมชุมชนให้พร้อมรับนักท่องเที่ยวดูกังหันยักษ์

พื้นที่ อ.นิคมคำสร้อย เป็นจุดท่องเที่ยวสายวัฒนธรรม และเป็นตำบลที่ได้รับการส่งเสริมในเรื่องของศิลปะวัฒนธรรม ภูมิปัญญา การทอผ้า และแปรรูปผ้าพื้นเมือง ทำให้มีนักท่องเที่ยวสนใจเข้ามาเยี่ยมชมตำบลร่มเกล้าและบริเวณพื้นที่ใกล้เคียงอย่างไม่ขาดสาย โดยตัวชุมชมเองมีการชูจุดเด่นของท้องถิ่นในเรื่องผ้าทอภูไท อาหารพื้นถิ่น รวมถึงมีแลนด์มาร์คสำคัญด้านการท่องเที่ยวอย่าง ‘กังหันลมผลิตพลังงาน’ ที่สวยงามและโดดเด่นจำนวน 13 ต้น

จากเหตุปัจจัยเหล่านี้ ทำให้วิทยาลัยชุมชนเห็นโอกาสในการสร้างแรงงานที่จะช่วยตอบความต้องการของนักท่องเที่ยว อย่างอาชีพนวดไทยเพื่อสุขภาพ เพื่อเป็นอีกรูปแบบในการสร้างรายได้ของชุมชน ซึ่งหนึ่งในเหตุผลสำคัญที่วิทยาลัยชุมชนเลือกการพัฒนาอาชีพนวดไทยนั้น เกิดจากการที่ตัวหน่วยงานมีวิทยากรที่มีความรู้ความสามารถด้านการนวดไทย และเป็นผู้อนุญาตใบขึ้นทะเบียนสำหรับสถานประกอบการเพื่อสุขภาพอยู่แล้ว จึงมีความมั่นใจว่าจะสามารถพัฒนาแรงงานที่มีความต้องการเรียนรู้ ให้ได้มาตรฐานฝีมือแรงงานระดับ 1 ด้านการนวดไทย เพราะการเรียนนวดไทยเพื่อการประกอบอาชีพ นั้นต้องมีมาตรฐาน และยังเป็นศาสตร์ที่มีความลึกซึ้งที่ต้องอาศัยผู้ชำนาญการในการฝึกสอน

วิทยาลัยชุมชนได้ตั้งคณะทำงานขึ้นมาเพื่อขับเคลื่อนกิจกรรม โดยมีบทบาทสำคัญในการประชาสัมพันธ์โครงการให้กับกลุ่มชุมชนใน 3 ตำบลคือตำบลร่มเกล้า ตำบลโชคชัน และตำบลกกแดง เพื่อให้คนในชุมชนเห็นความสำคัญของการพัฒนาทักษะฝีมือและการสร้างอาชีพให้แก่ตนเอง โดยมีการเชิญชวนให้สมัครเข้าร่วมโครงการควบคู่ไปกับการประชาสัมพันธ์ด้วย

กลุ่มเป้าหมายของโครงการไม่ใช่กลุ่มหมอนวดมืออาชีพที่มีทักษะอยู่แล้ว ทว่าเป็นกลุ่มเกษตรกรผู้มีรายได้น้อยและผู้ว่างงาน จำนวน 90 คน ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ 3 ตำบลดังกล่าว โดยเกณฑ์สำคัญในการรับสมัครคือจะต้องมีความตั้งใจในการพัฒนาทักษะการนวดไทยและมีความมุ่งมั่นในการสร้างรายได้เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของตนเองและครอบครัว

โครงการ ‘การสร้างงาน สร้างอาชีพ กับการนวดไทยเพื่อสุขภาพ’ ได้พัฒนาหลักสูตรการฝึกฝนอบรมตั้งแต่ระดับพื้นฐาน ซึ่งประกอบไปด้วย กายวิภาคศาสตร์ ทฤษฎีการแพทย์แผนไทย เภสัชกรรมไทยเบื้องต้น ประวัติองค์ความรู้และการประยุกต์ใช้ กฎหมายและจรรยาบรรณวิชาชีพ การนวดไทยเพื่อสุขภาพ การนวดผ่อนคลาย ไปจนถึงการฝึกภาคปฏิบัติที่เข้มข้น รวมทั้งสิ้นทุกวิชาจะต้องใช้เวลาถึง 231 ชั่วโมง ในการเรียนให้จบหลักสูตร

เจ้าหน้าที่โครงการเล่าถึงความก้าวหน้าของสมาชิกในโครงการให้ฟังว่า “หลังจากผ่านหลักสูตรของโครงการครบแล้ว เรามีสมาชิกที่สามารถผ่านการทดสอบของโครงการจำนวน 58 คน ซึ่งแต่ละคนก็จะได้ใบรับรองจากวิทยาลัยชุมชนทั้งหมด 5 ใบ คือวุฒิบัตรนวดไทยเพื่อสุขภาพ วุฒิบัตรนวดเท้าเพื่อสุขภาพ ซึ่งวุฒิทั้งสองชนิดนี้จะประกอบด้วยภาคภาษาไทยและภาษาอังกฤษรวมเป็น 4 วุฒิ และใบขึ้นทะเบียนผู้ได้รับอนุญาตเป็นผู้ประกอบการในสถานประกอบการเพื่อสุขภาพ ซึ่งสามารถนำไปต่อยอดเป็นเจ้าของร้านนวดไทยได้ทันที

นอกเหนือไปจากวุฒิเบื้องต้นทั้ง 5 ประเภทแล้ว ยังมีสมาชิกอีกกลุ่มหนึ่งเลือกที่จะไปสอบเพิ่มเติมเพื่อให้ได้ใบรับรองจากสำนักงานพัฒนาฝีมือแรงงาน ในสาขาอาชีพพนักงานนวดไทยเพื่อสุขภาพ โดยใบรับรองนี้จะทำให้สามารถเดินทางไปทำงานนวดไทยในต่างประเทศได้

ความเข้มข้นของหลักสูตรและการทดสอบในโครงการนี้ ทำให้บุคคลากรที่ผ่านการฝึกฝนจากโครงการมีคุณภาพมาตรฐานสากลจริงๆ ซึ่งสามารถนำเอาวิชาความรู้ไปใช้ในการประกอบอาชีพได้ทันที นอกจากนี้ยังนำไปต่อยอดเป็นใบอนุญาตในระดับที่สูงขึ้นไปเพื่อเพิ่มศักยภาพของฐานรายได้ได้ด้วย และล่าสุดด้านของหน่วยงานท้องถิ่นตำบลร่มเกล้าก็ได้เตรียมสร้างร้านนวดไทยเพื่อสุขภาพเพื่อมารองรับแรงงานที่ผ่านการอบรมจากวิทยาลัยชุมชนด้วย ซึ่งนับว่าเป็นแนวคิดอันดีที่ทำให้โครงการนี้มีความ ‘ครบวงจร’ ในแง่ของการสร้างแรงงานขึ้นมาเพื่อตอบความต้องการของชุมชนจริงๆ

ยุติความเหลื่อมล้ำในอำเภอกัลยาณิวัฒนา ผ่านโครงการพัฒนาอาชีพทอผ้าท้องถิ่นที่ทำให้กลุ่มสตรีฯ เหนียวแน่นกันมากขึ้น

ภูมิปัญญา ‘ผ้าทอ’ ของชาวปกาเกอะญอนั้น นับว่าเป็นหนึ่งในภูมิปัญญาที่สร้างมูลค่าให้กับทรัพยากรที่หาได้ง่ายในชุมชนอย่างมหาศาล วิสาหกิจชุมชนสินค้าแม่แดดน้อยได้เห็นความสำคัญของภูมิปัญญานี้และต้องการที่จะอนุรักษ์สืบสานให้คงอยู่คู่กับชุมชนปกาเกอะญอต่อไป และที่สำคัญคือจะต้องยังคงเป็นผ้าทอที่ทำโดยฝีไม้ลายมือของสตรีในชุมชนอำเภอกัลยาณิวัฒนา จ.เชียงใหม่ด้วย

โครงการการพัฒนาอาชีพของกลุ่มสตรีปกาเกอะญอถือกำเนิดขึ้นมาด้วยจุดประสงค์สามข้อหลักคือ

  1. เพิ่มมูลค่าผ้าทอท้องถิ่นสู่การเป็นสินค้าร่วมสมัย
  2. การพัฒนาเป็นแหล่งเรียนรู้ผ้าทอปกาเกอะญอต้นแบบ
  3. พัฒนาทักษะการทำน้ำยาเอนกประสงค์จากธรรมชาติเพิ่มรายได้ โดยมีกลุ่มเป้าหมายจำนวน 150 คน ที่อาศัยภายในพื้นที่3 ตำบลคือ ตำบลแม่แดด ตำบลบ้านจันทร์ และตำบลแจ่มหลวง ซึ่งอยู่ภายใต้อำเภอกัลยาณิวัฒนาทั้งสิ้น

กลุ่มเป้าหมายส่วนใหญ่ที่เข้าร่วมโครงการคือเหล่าสตรีผู้สูงอายุ เกษตรกร ผู้ว่างงาน และผู้ถือบัตรสวัสดิการฯ โดยการคัดเลือกสมาชิกจะเริ่มจากการหารือกับประธานกลุ่มวิสาหกิจชุมชน และนำรายชื่อไปหารือกับที่ประชุมของหมู่บ้าน จากนั้นก็จะให้คนในชุมชนได้มีส่วนร่วมในการคัดเลือก จนได้สมาชิกจำนวน 150 คน ที่มีความต้องการพัฒนาต่อยอดทักษะการทอ รวมถึงมีคุณสมบัติตรงกับกลุ่มเป้าหมายที่โครงการได้กำหนดไว้ด้วย

จากนั้นโครงการก็จะพาสมาชิกทั้งหมดเข้ามาอบรมกรรมวิธีการทอผ้าด้วยกี่ตั้งแต่ระดับพื้นฐาน จนค่อยๆ ไต่ระดับให้สูงขึ้นไป เช่น การย้อมสีเส้นด้ายโดยสีธรรมชาติ การสร้างลายผ้า การทอผ้ากี่ใหญ่และกี่เอว การตัดเย็บผ้า และการทำการตลาดเพื่อเป็นช่องทางการขาย เป็นต้น

หลังจากที่เริ่มต้นโครงการไปได้ช่วงเวลาหนึ่ง วิสาหกิจชุมชนก็ได้เห็นการพัฒนาของสมาชิกที่มีแนวโน้มไปในทางบวก โดยพบว่ากลุ่มสมาชิกสามารถย้อมสีผ้าฝ้ายดิบได้โดยใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ในชุมชน กลุ่มสมาชิกมีความเสียสละมากขึ้น ลงมือฝึกฝนอย่างตั้งใจ และมีน้ำใจต่อเพื่อนร่วมโครงการ นอกจากนี้ความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกในแต่ละพื้นที่ก็มีความแน่นแฟ้นมากขึ้น มีการคุยแลกเปลี่ยนกันมากขึ้น ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องที่ส่งผลดีต่อกลุ่มวิสาหกิจไปในตัว

หนึ่งในสมาชิกโครงการได้เล่าให้ฟังถึงกิจกรรมที่ประทับใจที่สุดในช่วงเวลาที่จัดอบรมว่า “ส่วนตัวแล้วชอบกิจกรรมผ้าทอกี่เอวมากที่สุด เพราะทำให้สมาชิกสามารถนำไปปฏิบัติได้จริง โดยหลังจากที่จบหลักสูตรก็ได้ไปดูตามครัวเรือนต่างๆ ของเพื่อนบ้าน แล้วพบว่าแทบทุกบ้านที่เข้าร่วมโครงการมีการทอผ้าเพื่อเอาไว้ใช้งานเองและมีส่วนที่แบ่งไว้ขายด้วย นอกจากนี้กิจกรรมที่โครงการจัดขึ้นยังช่วยฝึกฝนให้พวกเรามีฝีมือการทอที่ปราณีตขึ้นด้วย”

มากไปกว่าความประทับใจที่มีต่อกิจกรรมเสริมสร้างทักษะ ผลพลอยได้จากการรวมกลุ่มก็คือความแน่นแฟ้นของสมาชิกจากต่างพื้นที่ “ชุมชนมีความสามัคคีกันมากขึ้น รักกันมากขึ้น มีความสุข และมีรายได้เสริม” หนึ่งในสมาชิกโครงการกล่าวสั้นๆ แต่รวบยอดของประโยชน์ที่โครงการพัฒนาอาชีพฯ ได้ก่อให้เกิดขึ้นกับชุมชนทั้ง 3 พื้นที่

การที่สมาชิกในโครงการมีพัฒนาการด้านทักษะตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ สะท้อนให้เห็นว่ากลุ่มสตรีในชุมชนยังมีศักยภาพที่ซุกซ่อนอยู่อีกมาก ซึ่งศักยภาพเหล่านั้นเมื่อได้ถูกขัดเกลาและส่งเสริมก็ทำให้สามารถสร้างรายได้ให้กับตนเองและครอบครัวได้ นอกเหนือไปจากนั้น สตรีกลุ่มนี้ยังเป็นเรี่ยวแรงที่สำคัญในการอนุรักษ์สืบสานอัตลักษณ์ของผ้าทอปกาเกอะญอให้คงอยู่ต่อไปด้วย

นอกจากนี้การที่โครงการที่ให้ความสำคัญกับการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติในพื้นที่มาสร้างเป็นผลิตภัณฑ์เสริมรายได้นั้น ย่อมช่วยสร้างสำนึกของการดูแลรักษาธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมให้กับคนในพื้นที่ควบคู่กันไปด้วย ซึ่งแน่นอนว่าในระยะยาว สิ่งเหล่านี้ย่อมจะส่งผลดีแก่พื้นที่ป่า ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมของชุมชนด้วย

“ชอบกิจกรรมผ้าทอกี่เอวมากที่สุด เพราะทำให้สมาชิกสามารถนำไปปฏิบัติได้จริง” หนึ่งในสมาชิกของโครงการ

 

วิทยาลัยชุมชนอุทัยธานีจับภูมิปัญญาผ้าทอพื้นเมืองมาสร้างหลักสูตร แก้ปัญหาการว่างงานของแรงงานนอกระบบ

การทอผ้าคือทักษะอาชีพที่ช่วยให้แรงงานในจังหวัดอุทัยธานีหาเลี้ยงชีพให้กับตัวเองได้มาหลายชั่วอายุคน แต่เมื่อเวลาผ่านไปจากรุ่นสู่รุ่น องค์ความรู้บางอย่างก็เกิดการสูญหาย แรงงานหัตถกรรมในพื้นที่รุ่นหลังๆ จึงมีปัญหาด้านการขาดองค์ความรู้ที่จำเป็นบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบลายผ้า การพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มีความหลากหลาย รวมถึงการย้อมสีจากวัสดุธรรมชาติ 

สาเหตุสำคัญประการหนึ่งที่ทำให้องค์ความรู้ระหว่างรุ่นขาดหายและตกหล่นไป นั่นคือการขาด ‘ครูช่าง’ หรือผู้เชี่ยวชาญในกระบวนการผลิตผ้าทอ เช่น ครูช่างออกแบบลวดลายโบราณ ครูช่างย้อมผ้า ครูช่างแปรรูปผ้าทอ เป็นต้น ทำให้สิ่งที่ดีงามหรือทักษะที่สั่งสมมานับตั้งแต่อดีตไม่ได้รับการถ่ายทอดอย่างถูกวิธีและเลือนหายไปตามกาลเวลา

วิทยาลัยชุมชนอุทัยธานีเล็งเห็นถึงความสำคัญของทักษะเหล่านั้น ทั้งในด้านที่เป็นประโยชน์ต่อการอนุรักษ์ผลิตภัณฑ์ของคนไทย และการสร้างรายได้ให้กับแรงงานในพื้นที่ จึงได้จัดทำโครงการที่ช่วยรวบรวมองค์ความรู้เหล่านี้เพื่อส่งต่อให้กับผู้ที่ต้องการนำไปใช้ประโยชน์ โดยเฉพาะกลุ่มผู้ด้อยโอกาสและขาดแคลนทุนทรัพย์

หน่วยงานผู้รับผิดชอบจึงได้ลงพื้นที่ เพื่อสำรวจและวิเคราะห์กลุ่มเป้าหมายจำนวน 150 คน และพบว่าคนส่วนใหญ่มีสถานะเป็นแรงงานนอกระบบ มีความต้องการเรียนรู้เพิ่มเติมในเรื่องการย้อมเส้นด้ายจากสีธรรมชาติ การแปรรูปสินค้าให้มีความหลากหลาย และยกระดับผลิตภัณฑ์ให้ตอบสนองความต้องการของลูกค้ามากขึ้น เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตและการจัดจำหน่าย

เมื่อทราบความต้องการที่แท้จริงของสมาชิกแล้ว โครงการก็สามารถออกแบบแนวทางการพัฒนาทักษะได้อย่างชัดเจนและตรงกับความต้องการของสมาชิก โดยมีการทำงานร่วมกับมหาวิทยาลัยศรีนครินทร์วิโรฒ มหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ องค์กรเอกชนศรีเวียงน่าน และปราชญ์ชุมชน เพื่อออกแบบหลักสูตรการเรียนการสอน โดยตัวหลักสูตรพัฒนาทักษะจะมุ่งเน้นที่การลงมือปฏิบัติจริงในทุกขั้นตอน และมีการนำเอาทรัพยากรธรรมชาติในชุมชนเข้าเป็นวัตถุดิบในการเรียนด้วย ซึ่งภาพรวมของหลักสูตรมีอยู่ 3 มิติด้วยกัน คือ 1.หลักสูตรการย้อมสีธรรมชาติ 2.หลักสูตรเทคนิคการขายออนไลน์ในศตวรรษที่ 21 และ 3.หลักสูตรการออกแบบลายและพัฒนาผลิตภัณฑ์ผ้าทอพื้นเมืองอุทัยธานี

เมื่อแนวทางการพัฒนามีความสอดคล้องกับสิ่งที่สมาชิกต้องการ ทำให้แรงงานกลุ่มนี้มีความกระตือรือร้นในการเข้าร่วมฝึกฝนอบรม ซึ่งโครงการก็ได้ตอบรับความมุ่งมั่นนั้นโดยเชิญผู้ทรงคุณวุฒิ ผู้เชี่ยวชาญ และปราชญ์ชาวบ้านเข้ามาร่วมถ่ายทอดองค์ความรู้และภูมิปัญญาให้กับกลุ่มเป้าหมาย โดยมีผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นคือ นวัตกรรมด้านสื่อการสอนรูปแบบใหม่ และ การออกแบบลวดลายผ้าโดยใช้ตัวต่อ

เดิมทีการออกแบบลวดลายจะใช้รูปแบบ ‘กราฟ’ ในการวางโครงสร้าง ส่งผลให้ผู้เรียนวัยชราหรือสูงอายุไม่สามารถทำได้ แต่ล่าสุดโครงการได้เปลี่ยนมาใช้เป็นรูปแบบของตัวต่อแทน ทำให้สามารถสอนการสร้างลวดลายบนผ้าแก่คนได้ทุกช่วงวัย สร้างความสุขและความเพลิดเพลินในการฝึกฝนอบรมให้กับกลุ่มสมาชิก รวมถึงมีการสร้างผลงานออกมาอย่างเป็นรูปธรรม คือลายผ้ารูปแบบใหม่ที่ผลิตได้ง่ายขึ้น 6 แบบ ประกอบด้วย ลายดอกฝ้าย ลายพญานาคน้อย ลายดอกรักเร่ ลายดอกบัวหลวง ลายกะปอม และลายต้นแก้วมังกร

อีกหนึ่งความเปลี่ยนแปลงหนึ่งที่เกิดขึ้นกับกลุ่มสมาชิกอย่างชัดเจนหลังจากได้รับการอบรมก็คือ มีพัฒนาการด้านความมุ่งหวังในการสร้างอาชีพอย่างจริงจังมากขึ้น เกิดทักษะใหม่ๆ ในการต่อยอดผลิตภัณฑ์ผ้าทอ นอกจากนี้ยังมีการสร้างช่องทางจัดจำหน่ายสินค้าผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์อีกด้วย ซึ่งนับว่าเป็นช่องทางสำคัญที่จะช่วยเพิ่มรายได้ให้กับสมาชิกและชุมชนในภาพรวมต่อไป แต่นอกเหนือจากส่วนของการยกระดับคุณภาพฝีมือของแรงงานแล้ว โครงการยังให้ความสำคัญกับการรักษาและสืบทอดวัฒนธรรมท้องถิ่นด้วย โดยมีการจัดกิจกรรมอย่าง ‘เวทีคืนข้อมูล’ ที่ช่วยสะท้อนความก้าวหน้า ปัญหา และข้อมูลที่เกิดขึ้นระหว่างโครงการ เพื่อให้ชุมชนนำไปต่อยอดพัฒนาให้ดียิ่งขึ้

‘ขวัญชุมชน’ มูลนิธิที่ยกระดับแรงงานนอกระบบในชุมชนด้วยโครงการฝึกทักษะ ‘ผ้าไหมสร้างสรรค์’

ตำบลจารพัต เป็นพื้นที่ที่มีการผลิตผ้าไหมทอมือที่มาจากแรงงานในครอบครัวเป็นส่วนมาก โดยพบว่า แรงงานทอผ้าที่เป็นกลุ่มเป้าหมายมี 2 ลักษณะสำคัญคือ 1.คนวัยแรงงานที่มีทักษะในการผลิตแต่ไม่มีความรู้ครอบคลุมตลอดทั้งกระบวนการ กับ 2.เยาวชนที่ขาดทักษะด้านนี้โดยตรงและเป็นแรงงานรับจ้างรายวัน 

มูลนิธิขวัญชุมชนทำการวิเคราะห์ชุมชน และเห็นจุดเด่นของชุมชนที่มีต้นทุนทางสังคมอยู่แล้ว เช่น มีครูภูมิปัญญาทอผ้าไหมและมีภาคีระดับท้องถิ่นที่ช่วยเกื้อหนุน แต่อาชีพขายผ้าไหมยังพบปัญหาในการผลิตและการขาย จึงเป็นที่มาของแนวทางการดำเนินโครงการ 3 ข้อ คือ

  1. สนับสนุนและส่งเสริมทักษะด้านการทอ การย้อมสีธรรมชาติ  และการปรับปรุงผลิตภัณฑ์
  2. สนับสนุนให้แรงงานนอกระบบเข้าถึงตลาดผู้บริโภคกลุ่มที่มีศักยภาพ
  3. ส่งเสริมให้เกิดศูนย์เรียนรู้หัตถกรรมพื้นบ้านขึ้นในชุมชน

เมื่อมีแนวทางที่ชัดเจนแล้ว มูลนิธิจึงได้ลงพื้นที่เพื่อเข้าไปวิเคราะห์กลุ่มเป้าหมาย และพบว่ามีกลุ่มเป้าหมายที่เข้าเกณฑ์ของโครงการอยู่ 2 กลุ่ม คือแรงงานนอกระบบและเยาวชนที่ขาดโอกาส จากนั้นจึงเปิดรับสมัครสมาชิกเข้ามาร่วมโครงการ โดยมีตัวเลขผู้เข้าร่วมทั้งสิ้น 70 คน โดยระหว่างที่ทำการรับสมัครสมาชิกใหม่ โครงการได้เริ่มดำเนินงานพัฒนาทักษะ พร้อมกับการพัฒนา Module เสริมความรู้ไปพร้อมกัน 

โครงการได้เริ่มต้นกระบวนการพัฒนา โดยอบรมเรื่องการวางแผนชีวิตและวางแผนการเงินเป็นอันดับแรก ซึ่งหลังจากที่ผ่านวิชานี้ไป โครงการก็พบว่ากลุ่มสมาชิกได้เปลี่ยนมุมมองการทำงานโดยมีเป้าหมายในชีวิตมากขึ้น รวมถึงมีเป้าหมายในการวางแผนครัวเรือนเพิ่มขึ้นด้วย เพราะวิทยากรได้เน้นเรื่องการคำนวนรายจ่ายคงที่ และการจัดการด้านการเงินให้มีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ มูลนิธิยังมีการจัดทำเสื้อทีมในการประชาสัมพันธ์งานของโครงการ เพื่อกระตุ้นการมีส่วนร่วมของชุมชน ตลอดจนการลงพื้นที่ติดตามผลการดำเนินงานอย่างใกล้ชิด 

จากวันที่สมาชิกเข้ามาร่วมฝึกฝนในโครงการจนถึงวันนี้ ก็นับว่าเป็นเวลาหลายเดือนแล้ว เจ้าหน้าที่โครงการและมูลนิธิเองได้เห็นความก้าวหน้าของกลุ่มสมาชิกอย่างชัดเจน โดยเฉพาะเรื่องของการลดละสารเคมีที่ใช้ในการย้อมผ้า “หลังจากที่จัดอบรมเทคนิคการย้อมสีธรรมชาติให้กับสมาชิกในโครงการ สมาชิกคนทอผ้ากว่าครึ่งก็หันมาใช้สีธรรมชาติในการย้อม จากเดิมที่เคยใช้แต่สีเคมีก็เปลี่ยนพฤติกรรมมาเสาะหาไม้ให้สีที่มีอยู่ในชุมชน ไม่ว่าจะเป็น คราม ครั่ง และเข ซึ่งนอกจากเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมแล้ว ยังช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับผลงานด้วย จากผ้าไหมสีเคมีที่ขายได้ในราคา 1300 – 1500 บาท เมื่อปรับมาผลิตด้วยสีธรรมชาติจะขายได้ถึง 2,500 – 3,500 บาท” หนึ่งในเจ้าหน้าที่โครงการกล่าว

“เราได้ปลุกปั้นและฝึกฝนอบรมสมาชิกที่ไม่มีทักษะใดเลย ให้กลายเป็นแรงงานที่มีทักษะฝีมือดี คือสามารถทอผ้า มัดลายและย้อมผ้าด้วยสีธรรมชาติได้ นอกจากนี้โครงการยังเน้นให้สมาชิกจัดทำบัญชีรายรับ – รายจ่าย เพื่อหาวิธีการลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น ซึ่งเป็นทางออกของการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนด้วย”

ในปัจจุบัน นับว่าโครงการได้ก้าวมาไกลจากจุดเริ่มต้นมาพอสมควร ทว่ายังมีระยะทางอีกมากมายกว่าจะถึงจุดที่เรียกได้ว่าประสบความสำเร็จ โดยมูลนิธิขวัญชุมชนได้วางโมดูลการพัฒนาไว้ 4 โมดูล คือ

  1. โมดูลฝึกวางแผนชีวิตวางแผนการเงิน
  2. โมดูลฝึกให้ก้าวทันโลกในฐานะผู้ประกอบการผ้าไหมรุ่นใหม่
  3. โมดูลฝึกการตลาด การพัฒนาผลิตภัณฑ์
  4. แนวคิด Fair Trade & Supply Chain 

หลังจากที่สมาชิกได้เรียนรู้และผ่านการฝึกฝนครบทั้ง 4 โมดูลแล้ว มูลนิธิขวัญชุมชนก็วางวิสัยทัศน์ไว้สำหรับอนาคตดังนี้

  1. จะต้องพัฒนาผ้าทอพื้นบ้านทั้งในด้านทักษะ ผลิตภัณฑ์  การออกแบบ และการตลาด ให้ครบทั้งระบบ
  2. ทำให้เกิดการรวมกลุ่มเป็นวิสาหกิจผ้าไหมสร้างสรรค์
  3. หาโอกาสระดมทุนและทรัพยากรในระดับท้องถิ่น เพื่อสร้างความเข้มแข็งทางการเงินให้กับสมาชิก รวมถึงขยายฐานสมาชิกเป็นคนรุ่นใหม่ๆ ที่มีความสนใจเพิ่มเติมด้วย ซึ่งแน่นอนว่าการขยายฐานสมาชิกโครงการนั้น เป็นก้าวสำคัญที่จะช่วยส่งต่อภูมิปัญญาระหว่างคนรุ่นก่อนและคนรุ่นใหม่ รวมถึงจะสามารถนำไอเดียจากคนรุ่นใหม่มาใช้ในการพัฒนาโครงการได้เป็นอย่างดี

“เราได้ปลุกปั้นและฝึกฝนอบรมให้สมาชิกที่ไม่มีทักษะใดเลย ให้กลายเป็นแรงงานที่มีทักษะฝีมือดี” – หนึ่งในเจ้าหน้าที่โครงการ

มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ จับเอาภูมิปัญญาการทอผ้าไหมสุรินทร์มาต่อยอดเป็นหลักสูตรสร้างอาชีพให้กับคนด้อยโอกาสในชุมชน

ผ้าไหมคือผลิตภัณฑ์ที่มีความพิเศษอยู่เสมอ เพราะไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนผ้าไหมที่ดีก็ยังคงซื้อง่ายขายคล่องและเป็นที่ต้องการของตลาดไม่เปลี่ยนแปลง ซึ่งหนึ่งในผ้าไหมที่ขึ้นชื่อของไทยคือผ้าไหมจากจังหวัดสุรินทร์ โครงการการฝึกอบรมพัฒนาทักษะแรงงานที่จัดขึ้นโดยมหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ จึงได้จับเอาต้นทุนอันนี้มาต่อยอดเป็นหลักสูตรที่ช่วยให้กลุ่มผู้ด้อยโอกาสในพื้นที่จังหวัดสุรินทร์ ได้มีโอกาสเข้ามาศึกษาเรียนรู้และพัฒนายกระดับฝีมือแรงงานให้มีคุณภาพ พร้อมทั้งเป็นต้นแบบของชุมชนอื่นๆ ต่อไป

กลุ่มเป้าหมายที่โครงการได้กำหนดไว้คือกลุ่มคนด้อยโอกาสและขาดแคลนทุนทรัพย์ โดยเฉพาะ ‘แรงงานนอกระบบ’ ที่ไม่มีสวัสดิการหรือความมั่นคงใดๆ รองรับ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วแรงงานนอกระบบเหล่านี้จะมีอาชีพหลักเป็นเกษตรกรและมีอาชีพเสริมเป็นการรับจ้างทั่วไป แต่ถึงอย่างนั้นรายได้ก็ยังมีไม่พอต่อค่าใช้จ่ายที่จำเป็นอยู่ดี โครงการของม.ราชภัฏสุรินทร์จึงได้เข้าไปสำรวจชุมชนและเปิดรับสมัครสมาชิกที่มีความต้องการประกอบอาชีพผู้ผลิตผ้าไหมเข้ามาฝึกฝนอบรมจำนวน 80 คน

ภายหลังจากที่มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ได้เข้าไปวิเคราะห์ทุนชุมชนแบบมีส่วนร่วม ก็ได้พบว่าผู้คนในชุมชนมีต้นทุนหลายประการ ไม่ว่าจะเป็น ทุนด้านมนุษย์ที่มีคุณสมบัติด้านภูมิปัญญาความรู้ ทุนทางสังคมที่ชุมชนมีความรักสามัคคีและยอมรับซึ่งกันและกัน ทุนทางธรรมชาติที่ช่วยเสริมศักยภาพในการดำรงชีวิตไม่ว่าจะเป็น ป่า แม่น้ำ ดิน และพืชพรรณ นอกจากนี้ชุมชนยังมีทัศนคติที่ก้าวหน้า คือมีความต้องการที่จะบริหารจัดการต้นทุนที่มีอยู่แล้วในชุมชนให้เกิดประโยชน์สูงสุดโดยคนในชุมชนด้วยกันเอง

มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์จึงได้วางระบบการพัฒนาทักษะอาชีพโดยเริ่มต้นตั้งแต่องค์ความรู้พื้นฐาน เช่น การปลูกหม่อนเลี้ยงไหม การย้อมสีเส้นไหมด้วยสีธรรมชาติ การทอผ้าไหม และการพัฒนาลวดลายผ้าไหม จนครอบคลุมไปถึงทักษะการตลาดที่เป็นส่วนของการจัดจำหน่ายด้วย

นับตั้งแต่วันแรกที่ดำเนินงานมาจนถึงวันนี้ โครงการได้รับความร่วมมือจากบุคคลากรหลายฝ่ายเป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นจากผู้นำชุมชนที่คอยช่วยเหลือติดต่อประสานงานในการเข้าขอใช้พื้นที่และการติดต่อประสานงานกลับผู้เข้าร่วมอบรม ตลอดจนอำนวยความสะดวกในด้านต่างๆ ในระหว่างการฝึกอบรม รวมถึงกลุ่มสมาชิกเองก็ให้ความร่วมมือในการเข้าร่วมอบรมเป็นจำนวนมาก และคนในครอบครัวของผู้เข้าร่วมอบรมยังมีส่วนช่วยและเสริมประสิทธิภาพในการอบรมมากขึ้น โดยการจัดหาวัตถุดิบที่จำเป็นในการฝึกฝนมาสนับสนุนด้วย

จากความร่วมมือเหล่านี้ทำให้กลุ่มเป้าหมายมีความก้าวหน้าทั้งด้านทักษะการผลิตผ้าไหมและทักษะการตลาดเพิ่มขึ้น ซึ่งหนึ่งในสมาชิกของโครงการได้กล่าวสรุปความก้าวหน้าของพี่น้องในชุมชนไว้ว่า 

“หลังเข้าร่วมโครงการเราได้เรียนรู้และมีทักษะในการคิดค้นลายผ้า การย้อมสีธรรมชาติ ตลอดจนช่องทางการตลาดที่ไม่ต้องขายผ่านพ่อค้าคนกลาง รวมถึงมีการจัดตั้งกลุ่มกันขึ้นมา มีการถ่ายทอดภูมิปัญญาจากคนพ่อแม่สู่ลูกหลาน ขณะเดียวกันทางกลุ่มมีการผลักดันคนรุ่นใหม่ที่มีหัวคิดทันสมัยให้มาช่วยประสานงานกับหน่วยงานอื่นๆ ทำให้มีเยาวชนเข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการผลิตผ้าไหมมากขึ้น และไม่ต้องออกไปทำงานข้างนอกชุมชน

นอกจากความก้าวหน้าทางทักษะและอาชีพของตัวกลุ่มเป้าหมายแล้ว โครงการก็ได้ยกระดับสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ เพื่อให้มีการทำงานอย่างเป็นระบบมากขึ้น โดยเจ้าหน้าที่ของโครงการเล่าให้ฟังถึงความคืบหน้าล่าสุดว่า 

“โครงการของเราได้มีการสร้างโรงทอผ้า โรงย้อม และสถานที่สำหรับทำกิจกรรมต่างๆ ในกระบวนการผลิตผ้าไหม ตลอดจนมีอุปกรณ์และเครื่องมือที่อำนวยความสะดวก ทำให้คนในกลุ่มสามารถผลิตผ้าไหมได้รวดเร็วมากขึ้น โดยในอนาคตโครงการมีแผนพัฒนาทักษะการเพิ่มมูลค่าของ ‘ผลพลอยได้’ ที่เกิดจากกระบวนการผลิตผ้าไหม เพื่อจะได้เป็นการใช้วัตถุดิบในกระบวนการผลิตผ้าไหมให้เกิดประโยชน์สูงสุด และยังสามารถเพิ่มรายได้ให้กับสมาชิกกลุ่มได้อีกทางด้วย” เจ้าหน้าที่โครงการทิ้งท้ายไว้ด้วยวิสัยทัศน์ลำดับต่อไปของการยกระดับคุณภาพชีวิตแรงงานในพื้นที่จังหวัดสุรินทร์

 

วิทยาลัยชุมชนสตูลเปิดโครงการอบรมมัคคุเทศให้ได้ใบอนุญาตมัคคุเทศก์เฉพาะภูมิภาค (ภาคใต้) แก้ปัญหานำเที่ยวข้ามจังหวัดไม่ได้

จุดเริ่มต้นของโครงการนี้มีที่มาจากการที่วิทยาลัยชุมชนสตูลต้องการจะสร้างโอกาสที่เสมอภาคให้กับกลุ่มมัคคุเทศก์เฉพาะที่ต้องการเปลี่ยนใบอนุญาตเป็นมัคคุเทศก์เฉพาะภูมิภาค (ภาคใต้) เนื่องจากช่วงเวลาที่ผ่านมาได้มีการเปลี่ยนแปลงกฎเกณฑ์เรื่องใบอนุญาตการนำเที่ยวในต่างพื้นที่ ทำให้มัคคุเทศก์จำนวนหนึ่งหรือที่เรียกกันว่ามัคคุเทศก์เฉพาะ ไม่สามารถนำนักท่องเที่ยวเดินทางข้ามเขตพื้นที่หรือข้ามจังหวัดได้

วิทยาลัยชุมชนจึงได้หาทางช่วยเหลือและสนับสนุน โดยการจัดทำแผนการพัฒนาทักษะขึ้นมา เพื่อฝึกฝนอบรมเหล่ามัคคุเทศก์ให้มีความรู้และทักษะที่จำเป็นในการเปลี่ยนรูปแบบของใบอนุญาตนำเที่ยว

กลุ่มเป้าหมายของโครงการจึงเป็นมัคคุเทศก์เฉพาะที่อาศัยอยู่ในพื้นที่จังหวัดสตูลและจังหวัดใกล้เคียงที่พลาดโอกาสการฝึกอบรมที่จัดโดยกรมการท่องเที่ยว โดยหลังจากที่ได้เปิดรับสมัครแล้ว ก็มีกลุ่มเป้าหมายให้ความสนใจและมาเข้าร่วมจำนวน 53 คน 

หลังจากที่ได้สมาชิกครบแล้ว โครงการก็ได้จัดอบรมตามหลักสูตรที่กำหนดไว้ และเมื่อผ่านการฝึกอบรมเสร็จเรียบร้อยแล้วก็พบว่ากลุ่มมัคคุเทศก์เฉพาะมีความก้าวหน้าเกิดขึ้นใน 3 ด้านคือ 

1.องค์ความรู้ ความรู้เกี่ยวกับสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของจังหวัดสตูล เช่นอุทยานธรณีโลกสตูล ความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์  โบราณคดี  และวรรณกรรมท้องถิ่น ความรู้เกี่ยวกับศิลปะและวัฒนธรรมท้องถิ่น ความรู้เกี่ยวกับสินค้าพื้นเมืองและของที่ระลึกท้องถิ่น เป็นต้น 2.ทักษะ ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นทักษะของมัคคุเทศก์ในศตวรรษที่ 21 คือทักษะการใช้อุปกรณ์ดิจิทัลที่ทันสมัยขึ้นในการนำเที่ยว รวมถึงทักษะการประเมินตนเองอย่างต่อเนื่องเพื่อพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ 3. เจตคติ สมาชิกที่เข้าอบรมได้เรียนรู้หลักคุณธรรมและจริยธรรมในอาชีพมัคคุเทศก์ การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ รวมถึงการสร้างเครือข่ายด้านการท่องเที่ยวเพื่อให้มีความเข้มแข็งกันในกลุ่มมัคคุเทศก์

ความก้าวหน้าของสมาชิกทั้ง 50 คน เป็นหมุดหมายที่ดีว่าวิทยาลัยชุมชนสตูลมีคุณภาพและสามารถเป็นหน่วยงานที่ประชาชนในพื้นที่สามารถพึ่งพิงได้ ซึ่งหลังจากนี้มัคคุเทศก์ทั้ง 50 คน จะได้รับหนังสือรับรองจากโครงการเพื่อนำไปเปลี่ยนประเภทของในอนุญาตจากมัคคุเทศก์เฉพาะเป็นมัคคุเทศก์เฉพาะภูมิภาค (ภาคใต้) ต่อไป