ชุมชนบ้านแม่ตาด ตำบลสันทราย จังหวัดเชียงใหม่ คือชุมชนที่มีวิสาหกิจชุมชนเกษตรอินทรีย์ที่แข็งแรงอย่างวิสาหกิจชุมชนเกษตรอินทรีย์บ้านแม่ตาด ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ทำงานด้านการพัฒนาคุณภาพชีวิตกับคนในชุมชนมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการผลักดันให้เกษตรกรในชุมชนหยุดการใช้สารเคมีทางการเกษตร และเปลี่ยนมาใช้วิถีแบบอินทรีย์เพื่อความยั่งยืนของชีวิต
นอกจากการทำงานเรื่องเกษตรอินทรีย์แล้ว วิสาหกิจชุมชนเกษตรอินทรีย์บ้านแม่ตาดยังมีบทบาทด้านการพัฒนาอาชีพให้กับคนในชุมชนในหลากหลายด้านด้วย โดยล่าสุดวิสาหกิจได้เห็นต้นทุนของพื้นที่คือ ‘พืชที่สามารถใช้เป็นอาหารสำหรับแมลง’ กระจายตัวอยู่ในชุมชนเป็นจำนวนมาก ‘โครงการส่งเสริมการเลี้ยงจิ้งโกร่งคุณภาพต่อยอดอาชีพที่ยั่งยืน’ จึงได้ถูกจัดทำขึ้นมาเพื่อสอดรับกับต้นทุนในชุมชน โดยนอกจากเหตุผลด้านต้นทุนแล้ว การเลี้ยงแมลงยังเป็นอาชีพที่สร้างรายได้ได้ดี เนื่องจากตลาดรับซื้อแมลงยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง
โครงการได้ทำการเฟ้นหากลุ่มเป้าหมายที่มีคุณสมบัติสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ นั่นคือการพัฒนาคุณภาพชีวิตให้กับผู้ด้อยโอกาส โดยเปิดรับสมาชิกเข้ามาได้ถึง 141 คน แบ่งเป็นแรงงานนอกระบบ ผู้สูงอายุ ผู้ว่างงาน ผู้พิการ ผู้ถือบัตรสวัสดิการฯ และสมาชิกกลุ่มวิสาหกิจชุมชน
โดยหลังจากที่เข้ามาร่วมในโครงการแล้ว สมาชิกทุกคนจะได้รับการพัฒนาองค์ความรู้การเลี้ยงจิ้งโคร่งจากทีมงานผู้เชี่ยวชาญ และจะได้รับการช่วยเหลือในการจัดเตรียมพื้นที่สำหรับการเลี้ยงจิ้งโกร่งอาชีพอย่างถูกวิธีและเหมาะสม มากไปกว่านั้นคือตัวผู้จัดทำโครงการได้มองตลาดล่วงหน้าเอาไว้แล้ว โดนมีการประสานงานกับผู้รับซื้อในหลายๆ จังหวัดใกล้เคียง
นอกจากการช่วยเหลือเพื่อเตรียมการเบื้องต้นแล้ว โครงการยังได้จัดทำเอกสาร ‘คู่มือการเลี้ยงจิ้งโกร่งฉบับชาวบ้าน’ เพื่อเป็นเครื่องมือให้กับกลุ่มเป้าหมายในการเรียนรู้ ฝึกฝน และทดลองทำจริง หลังจากที่ได้ผ่านการอบรมจากโครงการไปแล้วด้วย ซึ่งหลังจากที่โครงการได้ทยอยดำเนินงาน ก็ได้มีกลุ่มเป้าหลายบางส่วนเริ่มมีการเลี้ยงจิ้งโกร่งเป็นอาชีพกันมากขึ้น ซึ่งโครงการเองก็ได้มีการจัดหาอุปกรณ์ในการประกอบอาชีพเบื้องต้นให้ด้วย
หนึ่งในสมาชิกของโครงการได้เล่าถึงประสบการณ์เริ่มแรกในการเลี้ยงสัตว์เศรษฐกิจตัวนี้ว่า “ผมมองว่าวิธีการเลี้ยงจิ้งโกร่งไม่ยาก หากทำความเข้าใจกับระบบนิเวศของจิ้งโกร่งได้ก็เลี้ยงได้แล้ว ไม่ต้องออกแรงมาก แต่ต้องให้ความใส่ใจดูแล ตอนนี้เพิ่งเริ่มเลี้ยงยังตัวไม่โตนัก ตั้งเป้าไว้ว่าน่าจะขายได้ประมาณ 1,500-2,000 บาทในรอบแรก และจะลงทุนขยายการเลี้ยงเพิ่มขึ้นแน่นอน โดยจะเป็นผู้เผยแพร่ความรู้ในการเลี้ยงจิ้งโกร่งให้กับชาวบ้านที่สนใจด้วยตัวเองอีกด้วย”
ในขั้นต้นสมาชิกหลายคนยังไม่สามารถนำเอาทักษะการเลี้ยงจิ้งโกร่งมาเป็นอาชีพหลักของตัวเองได้ แต่อย่างน้อยการได้เริ่มต้นเลี้ยงในปริมาณไม่มากก็สามารถเป็นอาชีพเสริมที่ช่วยสร้างรายได้ให้กับครัวเรือนได้ โดยในอนาคตวิสาหกิจชุมชนก็ได้วางแนวทางไว้ว่าจะมีการเสริมความรู้เพิ่มเติมให้กับกลุ่มเป้าหมาย เพื่อพัฒนาผลิตผลให้มีคุณภาพตรงกับความต้องการของตลาดมากขึ้น เช่น การแปรรูปเพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้า เป็นต้น

พื้นที่ของตำบลเชียงเครือนั้นมีของดีประจำชุมชนคือ ‘ดินเหนียว’ คุณภาพดีที่มีความเหมาะสมต่อการนำไปประดิษฐ์เป็นเครื่องปั้นดินเผาซึ่งมีคุณสมบัติคงทน ไม่แตกร้าวง่าย จากทรัพยากรอันพิเศษนี้ทำให้ชุมชนในพื้นที่มีภูมิปัญญาการปั้นเครื่องปั้นดินเผาเพื่อใช้ในครัวเรือนและเพื่อการค้า
เทศบาลตำบลเชียงเครือ ในฐานะองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นได้เล็งเห็นข้อได้เปรียบของคนในชุมชน ทั้งด้านของต้นทุนวัตถดิบที่มีความพิเศษกว่าพื้นที่อื่น รวมถึงภูมิปัญญาที่ส่งต่อกันมาผ่านรุ่นสู่รุ่น จึงได้จัดทำโครงการขึ้นมาเพื่อส่งเสริมให้ภูมิปัญญานี้สร้างอาชีพได้อย่างจริงจังภายใต้ชื่อ ‘โครงการส่งเสริมอาชีพเครื่องปั้นดินเผาตำบลเชียงเครือ’
ภายหลังการจัดตั้งโครงการขึ้นมา เทศบาลก็ได้ลงพื้นที่เพื่อค้นหาสมาชิกที่เป็นกลุ่มเป้าหมาย คือเหล่าคนด้อยโอกาสในชุมชน โดยอาศัยการมีส่วนร่วมจากคนในพื้นที่ประกอบไปกับการเทียบเคียงข้อมูลจากภาครัฐเพื่อคัดสรรบุคคลที่เหมาะสมกับโครงการจริงๆ โดยท้ายที่สุดก็ได้สมาชิกเข้ามาร่วมโครงการครบ 60 คน ตามเป้าที่ตั้งไว้ ประกอบด้วยแรงงานนอกระบบ 31 คน ผู้ว่างงาน 8 คน ผู้สูงอายุ 9 คน คนพิการ 3 คน ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 7 คน และอื่นๆ 2 คน
เมื่อได้สมาชิกตามเป้าแล้ว โครงการก็ได้พัฒนาหลักสูตรร่วมกับมหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนครจนได้กระบวนการฝึกอบรมที่มีมาตรฐาน ตั้งแต่ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการปั้นเครื่องปั้นดินเผา การออกแบบ การสร้างสรรค์ลวดลายใหม่ๆ การสร้างเครือข่าย และการวิเคราะห์ตลาดเครื่องปั้นดินเผา โดยตลอดหลักสูตรจะได้เวลา 198 ชั่วโมงในการอบรม ซึ่งนับว่าเป็นหลักสูตรที่เข้มข้นซึ่งสามารถนำไปประกอบอาชีพได้จริงภายหลังจากที่ผ่านการอบรม
นอกเหนือไปจากหลักสูตรพัฒนาทักษะอาชีพแล้ว โครงการยังมีการเสริมสร้างทักษะแบบ Soft skill เช่น ทักษะการทำงานเป็นทีม การบริหารจัดการทรัพยากรที่มีจำกัด ทักษะการแก้ปัญหา และทักษะการสื่อสารเพื่อจัดการงานให้บรรลุความสำเร็จด้วย ซึ่งทักษะเหล่านี้นับว่าเป็นสิ่งจำเป็นในศตวรรษที่ 21 เนื่องจากเป็นทักษะที่เสริมสร้างทัศนคติที่ดี และช่วยให้การทำงานมีความลื่นไหล
โครงการส่งเสริมอาชีพได้ดำเนินงานมาแล้วเป็นระยะเวลาหนึ่งและพบว่าสมาชิกที่เข้าร่วมทั้ง 60 คน มีความตั้งใจและกระตือรือร้นในการฝึกฝนอบรมและเก็บเกี่ยวความรู้อย่างเต็มที่ ทำให้หลักสูตรที่จัดขึ้นโดยเทศบาลในครั้งนี้นับว่าประสบความสำเร็จในขั้นต้น นั่นคือการสร้างมาตรฐานของคนที่จะกลายมาเป็นผู้ผลิตเครื่องปั้นดินเผาและช่วยสืบสานภูมิปัญญานี้ให้คงอยู่สืบต่อไปในชุมชน ซึ่งนอกจากจะมีความสำคัญด้านวัฒนธรรมแล้ว ยังเป็นทักษะที่สร้างรายได้ให้กับคนรุ่นต่อๆ ไปได้อย่างยั่งยืน

ในฐานะของหน่วยงานด้านการศึกษาที่สำคัญในพื้นที่ มหาวิทยาลัยราชภัฏลำปางจึงได้มีการร่วมงานกับทัณฑสถานในพื้นที่มาอย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นส่วนสำคัญในการฝึกฝนทักษะทางอาชีพให้กับผู้ต้องขัง รวมถึงส่งเสริมนิสัยรักการทำงาน เพื่อเป็นจุดตั้งต้นสำหรับการออกไปประกอบอาชีพจริงภายหลังการปล่อยตัว
โลกในปัจจุบันมีความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทำให้มีองค์ความรู้ใหม่ๆ เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา ซึ่งกลุ่มผู้ต้องโทษในเรือนจำอาจจะไม่มีโอกาสได้เข้าถึงสิ่งใหม่เหล่านั้น ทำให้อดีตผู้ต้องขังต้องประสบปัญหาในการเริ่มต้นชีวิตการทำงาน เกิดความเสี่ยงในการกลับเข้าสู่วงจรเดิม การนำเอาความรู้และทักษะของยุคสมัยปัจจุบันเข้าไปฝึกสอนในทัณฑสถานจึงเป็นเรื่องสำคัญที่จะป้องกันการกระทำผิดซ้ำได้
มหาวิทยาลัยราชภัฏลำปางจึงได้จัดทำโครงการร่วมกับทัณฑสถานบำบัดพิเศษลำปางขึ้น ในชื่อ ‘โครงการพัฒนาทักษะอาชีพการเป็นผู้ประกอบการยุคใหม่ของผู้ต้องขังทัณฑสถานบำบัดพิเศษ ลำปาง’ เพื่อเป็นการขับเคลื่อนการฝึกฝนทักษะอาชีพยุคใหม่ให้กับผู้ต้องโทษ โดยอิงจากเรื่องและประเด็นที่กลุ่มเป้าหมายมีความถนัดและให้ความสนใจ
กลุ่มเป้าหมายของโครงการประกอบไปด้วยผู้ต้องขังในทัณฑสถานบำบัดพิเศษ จำนวน 100 คน แบ่งเป็นผู้ต้องขังในเรือนจำ 70 คน และผู้ต้องขังเตรียมความพร้อมก่อนปล่อย 30 คน โดยสมาชิกทุกคนจะได้รับการพัฒนาศักยภาพในการเป็นผู้ประกอบการยุคใหม่ให้กับกลุ่มป้าหมาย โดยมีการต่อยอดความถนัดและทักษะต่างๆ ให้เหมาะสมกับธุรกิจในโลกยุคใหม่ โดยแบ่งได้เป็นหลายอาชีพ เช่น กลุ่มอาชีพรับจ้าง อาชีพขับรถ อาชีพเลี้ยงสัตว์ อาชีพอิสระ อาชีพทางการเกษตร และกลุ่มอาชีพด้านช่างต่าง
หลักสูตรการอบรมที่มหาวิทยาลัยได้จัดทำขึ้นครอบคลุมตั้งแต่ระดับต้นน้ำ กลางน้ำ ไปจนถึงปลายน้ำ ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ การเขียนแผนธุรกิจ การพัฒนาผลิตภัณฑ์ และทักษะการเป็นผู้ประกอบการยุคใหม่ อาทิ การใช้เทคโนโลยีดิจิทัล การใช้โซเชียลมีเดียในการตลาด โดยตลอดหลักสูตรจะมีการสอดแทรกแนวคิดด้านคุณธรรมและวิถีพอเพียงเข้าไป เช่น การดำรงชีวิตตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง ความซื่อสัตย์สุจริต ความอดทนพากเพียร เป็นต้น
โครงการได้เริ่มต้นกำนินมาแล้วระยะเวลาหนึ่ง ทำให้ได้เห็นความปลี่ยนแปลงของกลุ่มเป้าหมายซึ่งพบว่าผู้ต้องโทษได้มีแรงจูงใจในการประกอบอาชีพและมีทัศนคติที่ดีต่ออนาคตภายหลังการพ้นโทษ หลักสูตรการเป็นผู้ประกอบการยุคใหม่ จึงมีบทบาทอย่างยิ่งในการสร้างกำลังใจและสร้างแนวทางการประกอบอาชีพที่เท่าทันยุคสมัย และเปิดโอกาสให้ผู้ต้องโทษมีทางเลือกด้านอาชีพที่หลากหลาย ซึ่งเกิดจากความชอบและความถนัดของตนอย่างแท้จริง ซึ่งนับว่าเป็นจุดเริ่มต้นอันสำคัญที่จะช่วยให้กลุ่มเป้าหมายกลุ่มนี้สามารถกลับมาใช้ชีวิตในสังคมได้อย่างมีคุณภาพและมีความมั่นคงทางร้ายได้จากอาชีพสุจริต

พื้นที่ อ.นิคมคำสร้อย เป็นจุดท่องเที่ยวสายวัฒนธรรม และเป็นตำบลที่ได้รับการส่งเสริมในเรื่องของศิลปะวัฒนธรรม ภูมิปัญญา การทอผ้า และแปรรูปผ้าพื้นเมือง ทำให้มีนักท่องเที่ยวสนใจเข้ามาเยี่ยมชมตำบลร่มเกล้าและบริเวณพื้นที่ใกล้เคียงอย่างไม่ขาดสาย โดยตัวชุมชมเองมีการชูจุดเด่นของท้องถิ่นในเรื่องผ้าทอภูไท อาหารพื้นถิ่น รวมถึงมีแลนด์มาร์คสำคัญด้านการท่องเที่ยวอย่าง ‘กังหันลมผลิตพลังงาน’ ที่สวยงามและโดดเด่นจำนวน 13 ต้น
จากเหตุปัจจัยเหล่านี้ ทำให้วิทยาลัยชุมชนเห็นโอกาสในการสร้างแรงงานที่จะช่วยตอบความต้องการของนักท่องเที่ยว อย่างอาชีพนวดไทยเพื่อสุขภาพ เพื่อเป็นอีกรูปแบบในการสร้างรายได้ของชุมชน ซึ่งหนึ่งในเหตุผลสำคัญที่วิทยาลัยชุมชนเลือกการพัฒนาอาชีพนวดไทยนั้น เกิดจากการที่ตัวหน่วยงานมีวิทยากรที่มีความรู้ความสามารถด้านการนวดไทย และเป็นผู้อนุญาตใบขึ้นทะเบียนสำหรับสถานประกอบการเพื่อสุขภาพอยู่แล้ว จึงมีความมั่นใจว่าจะสามารถพัฒนาแรงงานที่มีความต้องการเรียนรู้ ให้ได้มาตรฐานฝีมือแรงงานระดับ 1 ด้านการนวดไทย เพราะการเรียนนวดไทยเพื่อการประกอบอาชีพ นั้นต้องมีมาตรฐาน และยังเป็นศาสตร์ที่มีความลึกซึ้งที่ต้องอาศัยผู้ชำนาญการในการฝึกสอน
วิทยาลัยชุมชนได้ตั้งคณะทำงานขึ้นมาเพื่อขับเคลื่อนกิจกรรม โดยมีบทบาทสำคัญในการประชาสัมพันธ์โครงการให้กับกลุ่มชุมชนใน 3 ตำบลคือตำบลร่มเกล้า ตำบลโชคชัน และตำบลกกแดง เพื่อให้คนในชุมชนเห็นความสำคัญของการพัฒนาทักษะฝีมือและการสร้างอาชีพให้แก่ตนเอง โดยมีการเชิญชวนให้สมัครเข้าร่วมโครงการควบคู่ไปกับการประชาสัมพันธ์ด้วย
กลุ่มเป้าหมายของโครงการไม่ใช่กลุ่มหมอนวดมืออาชีพที่มีทักษะอยู่แล้ว ทว่าเป็นกลุ่มเกษตรกรผู้มีรายได้น้อยและผู้ว่างงาน จำนวน 90 คน ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ 3 ตำบลดังกล่าว โดยเกณฑ์สำคัญในการรับสมัครคือจะต้องมีความตั้งใจในการพัฒนาทักษะการนวดไทยและมีความมุ่งมั่นในการสร้างรายได้เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของตนเองและครอบครัว
โครงการ ‘การสร้างงาน สร้างอาชีพ กับการนวดไทยเพื่อสุขภาพ’ ได้พัฒนาหลักสูตรการฝึกฝนอบรมตั้งแต่ระดับพื้นฐาน ซึ่งประกอบไปด้วย กายวิภาคศาสตร์ ทฤษฎีการแพทย์แผนไทย เภสัชกรรมไทยเบื้องต้น ประวัติองค์ความรู้และการประยุกต์ใช้ กฎหมายและจรรยาบรรณวิชาชีพ การนวดไทยเพื่อสุขภาพ การนวดผ่อนคลาย ไปจนถึงการฝึกภาคปฏิบัติที่เข้มข้น รวมทั้งสิ้นทุกวิชาจะต้องใช้เวลาถึง 231 ชั่วโมง ในการเรียนให้จบหลักสูตร
เจ้าหน้าที่โครงการเล่าถึงความก้าวหน้าของสมาชิกในโครงการให้ฟังว่า “หลังจากผ่านหลักสูตรของโครงการครบแล้ว เรามีสมาชิกที่สามารถผ่านการทดสอบของโครงการจำนวน 58 คน ซึ่งแต่ละคนก็จะได้ใบรับรองจากวิทยาลัยชุมชนทั้งหมด 5 ใบ คือวุฒิบัตรนวดไทยเพื่อสุขภาพ วุฒิบัตรนวดเท้าเพื่อสุขภาพ ซึ่งวุฒิทั้งสองชนิดนี้จะประกอบด้วยภาคภาษาไทยและภาษาอังกฤษรวมเป็น 4 วุฒิ และใบขึ้นทะเบียนผู้ได้รับอนุญาตเป็นผู้ประกอบการในสถานประกอบการเพื่อสุขภาพ ซึ่งสามารถนำไปต่อยอดเป็นเจ้าของร้านนวดไทยได้ทันที”

นอกเหนือไปจากวุฒิเบื้องต้นทั้ง 5 ประเภทแล้ว ยังมีสมาชิกอีกกลุ่มหนึ่งเลือกที่จะไปสอบเพิ่มเติมเพื่อให้ได้ใบรับรองจากสำนักงานพัฒนาฝีมือแรงงาน ในสาขาอาชีพพนักงานนวดไทยเพื่อสุขภาพ โดยใบรับรองนี้จะทำให้สามารถเดินทางไปทำงานนวดไทยในต่างประเทศได้
ความเข้มข้นของหลักสูตรและการทดสอบในโครงการนี้ ทำให้บุคคลากรที่ผ่านการฝึกฝนจากโครงการมีคุณภาพมาตรฐานสากลจริงๆ ซึ่งสามารถนำเอาวิชาความรู้ไปใช้ในการประกอบอาชีพได้ทันที นอกจากนี้ยังนำไปต่อยอดเป็นใบอนุญาตในระดับที่สูงขึ้นไปเพื่อเพิ่มศักยภาพของฐานรายได้ได้ด้วย และล่าสุดด้านของหน่วยงานท้องถิ่นตำบลร่มเกล้าก็ได้เตรียมสร้างร้านนวดไทยเพื่อสุขภาพเพื่อมารองรับแรงงานที่ผ่านการอบรมจากวิทยาลัยชุมชนด้วย ซึ่งนับว่าเป็นแนวคิดอันดีที่ทำให้โครงการนี้มีความ ‘ครบวงจร’ ในแง่ของการสร้างแรงงานขึ้นมาเพื่อตอบความต้องการของชุมชนจริงๆ

การทอผ้าคือทักษะอาชีพที่ช่วยให้แรงงานในจังหวัดอุทัยธานีหาเลี้ยงชีพให้กับตัวเองได้มาหลายชั่วอายุคน แต่เมื่อเวลาผ่านไปจากรุ่นสู่รุ่น องค์ความรู้บางอย่างก็เกิดการสูญหาย แรงงานหัตถกรรมในพื้นที่รุ่นหลังๆ จึงมีปัญหาด้านการขาดองค์ความรู้ที่จำเป็นบางอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบลายผ้า การพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มีความหลากหลาย รวมถึงการย้อมสีจากวัสดุธรรมชาติ
สาเหตุสำคัญประการหนึ่งที่ทำให้องค์ความรู้ระหว่างรุ่นขาดหายและตกหล่นไป นั่นคือการขาด ‘ครูช่าง’ หรือผู้เชี่ยวชาญในกระบวนการผลิตผ้าทอ เช่น ครูช่างออกแบบลวดลายโบราณ ครูช่างย้อมผ้า ครูช่างแปรรูปผ้าทอ เป็นต้น ทำให้สิ่งที่ดีงามหรือทักษะที่สั่งสมมานับตั้งแต่อดีตไม่ได้รับการถ่ายทอดอย่างถูกวิธีและเลือนหายไปตามกาลเวลา
วิทยาลัยชุมชนอุทัยธานีเล็งเห็นถึงความสำคัญของทักษะเหล่านั้น ทั้งในด้านที่เป็นประโยชน์ต่อการอนุรักษ์ผลิตภัณฑ์ของคนไทย และการสร้างรายได้ให้กับแรงงานในพื้นที่ จึงได้จัดทำโครงการที่ช่วยรวบรวมองค์ความรู้เหล่านี้เพื่อส่งต่อให้กับผู้ที่ต้องการนำไปใช้ประโยชน์ โดยเฉพาะกลุ่มผู้ด้อยโอกาสและขาดแคลนทุนทรัพย์
หน่วยงานผู้รับผิดชอบจึงได้ลงพื้นที่ เพื่อสำรวจและวิเคราะห์กลุ่มเป้าหมายจำนวน 150 คน และพบว่าคนส่วนใหญ่มีสถานะเป็นแรงงานนอกระบบ มีความต้องการเรียนรู้เพิ่มเติมในเรื่องการย้อมเส้นด้ายจากสีธรรมชาติ การแปรรูปสินค้าให้มีความหลากหลาย และยกระดับผลิตภัณฑ์ให้ตอบสนองความต้องการของลูกค้ามากขึ้น เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตและการจัดจำหน่าย
เมื่อทราบความต้องการที่แท้จริงของสมาชิกแล้ว โครงการก็สามารถออกแบบแนวทางการพัฒนาทักษะได้อย่างชัดเจนและตรงกับความต้องการของสมาชิก โดยมีการทำงานร่วมกับมหาวิทยาลัยศรีนครินทร์วิโรฒ มหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ องค์กรเอกชนศรีเวียงน่าน และปราชญ์ชุมชน เพื่อออกแบบหลักสูตรการเรียนการสอน โดยตัวหลักสูตรพัฒนาทักษะจะมุ่งเน้นที่การลงมือปฏิบัติจริงในทุกขั้นตอน และมีการนำเอาทรัพยากรธรรมชาติในชุมชนเข้าเป็นวัตถุดิบในการเรียนด้วย ซึ่งภาพรวมของหลักสูตรมีอยู่ 3 มิติด้วยกัน คือ 1.หลักสูตรการย้อมสีธรรมชาติ 2.หลักสูตรเทคนิคการขายออนไลน์ในศตวรรษที่ 21 และ 3.หลักสูตรการออกแบบลายและพัฒนาผลิตภัณฑ์ผ้าทอพื้นเมืองอุทัยธานี
เมื่อแนวทางการพัฒนามีความสอดคล้องกับสิ่งที่สมาชิกต้องการ ทำให้แรงงานกลุ่มนี้มีความกระตือรือร้นในการเข้าร่วมฝึกฝนอบรม ซึ่งโครงการก็ได้ตอบรับความมุ่งมั่นนั้นโดยเชิญผู้ทรงคุณวุฒิ ผู้เชี่ยวชาญ และปราชญ์ชาวบ้านเข้ามาร่วมถ่ายทอดองค์ความรู้และภูมิปัญญาให้กับกลุ่มเป้าหมาย โดยมีผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นคือ นวัตกรรมด้านสื่อการสอนรูปแบบใหม่ และ การออกแบบลวดลายผ้าโดยใช้ตัวต่อ
เดิมทีการออกแบบลวดลายจะใช้รูปแบบ ‘กราฟ’ ในการวางโครงสร้าง ส่งผลให้ผู้เรียนวัยชราหรือสูงอายุไม่สามารถทำได้ แต่ล่าสุดโครงการได้เปลี่ยนมาใช้เป็นรูปแบบของตัวต่อแทน ทำให้สามารถสอนการสร้างลวดลายบนผ้าแก่คนได้ทุกช่วงวัย สร้างความสุขและความเพลิดเพลินในการฝึกฝนอบรมให้กับกลุ่มสมาชิก รวมถึงมีการสร้างผลงานออกมาอย่างเป็นรูปธรรม คือลายผ้ารูปแบบใหม่ที่ผลิตได้ง่ายขึ้น 6 แบบ ประกอบด้วย ลายดอกฝ้าย ลายพญานาคน้อย ลายดอกรักเร่ ลายดอกบัวหลวง ลายกะปอม และลายต้นแก้วมังกร
อีกหนึ่งความเปลี่ยนแปลงหนึ่งที่เกิดขึ้นกับกลุ่มสมาชิกอย่างชัดเจนหลังจากได้รับการอบรมก็คือ มีพัฒนาการด้านความมุ่งหวังในการสร้างอาชีพอย่างจริงจังมากขึ้น เกิดทักษะใหม่ๆ ในการต่อยอดผลิตภัณฑ์ผ้าทอ นอกจากนี้ยังมีการสร้างช่องทางจัดจำหน่ายสินค้าผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์อีกด้วย ซึ่งนับว่าเป็นช่องทางสำคัญที่จะช่วยเพิ่มรายได้ให้กับสมาชิกและชุมชนในภาพรวมต่อไป แต่นอกเหนือจากส่วนของการยกระดับคุณภาพฝีมือของแรงงานแล้ว โครงการยังให้ความสำคัญกับการรักษาและสืบทอดวัฒนธรรมท้องถิ่นด้วย โดยมีการจัดกิจกรรมอย่าง ‘เวทีคืนข้อมูล’ ที่ช่วยสะท้อนความก้าวหน้า ปัญหา และข้อมูลที่เกิดขึ้นระหว่างโครงการ เพื่อให้ชุมชนนำไปต่อยอดพัฒนาให้ดียิ่งขึ้

ตำบลจารพัต เป็นพื้นที่ที่มีการผลิตผ้าไหมทอมือที่มาจากแรงงานในครอบครัวเป็นส่วนมาก โดยพบว่า แรงงานทอผ้าที่เป็นกลุ่มเป้าหมายมี 2 ลักษณะสำคัญคือ 1.คนวัยแรงงานที่มีทักษะในการผลิตแต่ไม่มีความรู้ครอบคลุมตลอดทั้งกระบวนการ กับ 2.เยาวชนที่ขาดทักษะด้านนี้โดยตรงและเป็นแรงงานรับจ้างรายวัน
มูลนิธิขวัญชุมชนทำการวิเคราะห์ชุมชน และเห็นจุดเด่นของชุมชนที่มีต้นทุนทางสังคมอยู่แล้ว เช่น มีครูภูมิปัญญาทอผ้าไหมและมีภาคีระดับท้องถิ่นที่ช่วยเกื้อหนุน แต่อาชีพขายผ้าไหมยังพบปัญหาในการผลิตและการขาย จึงเป็นที่มาของแนวทางการดำเนินโครงการ 3 ข้อ คือ
- สนับสนุนและส่งเสริมทักษะด้านการทอ การย้อมสีธรรมชาติ และการปรับปรุงผลิตภัณฑ์
- สนับสนุนให้แรงงานนอกระบบเข้าถึงตลาดผู้บริโภคกลุ่มที่มีศักยภาพ
- ส่งเสริมให้เกิดศูนย์เรียนรู้หัตถกรรมพื้นบ้านขึ้นในชุมชน
เมื่อมีแนวทางที่ชัดเจนแล้ว มูลนิธิจึงได้ลงพื้นที่เพื่อเข้าไปวิเคราะห์กลุ่มเป้าหมาย และพบว่ามีกลุ่มเป้าหมายที่เข้าเกณฑ์ของโครงการอยู่ 2 กลุ่ม คือแรงงานนอกระบบและเยาวชนที่ขาดโอกาส จากนั้นจึงเปิดรับสมัครสมาชิกเข้ามาร่วมโครงการ โดยมีตัวเลขผู้เข้าร่วมทั้งสิ้น 70 คน โดยระหว่างที่ทำการรับสมัครสมาชิกใหม่ โครงการได้เริ่มดำเนินงานพัฒนาทักษะ พร้อมกับการพัฒนา Module เสริมความรู้ไปพร้อมกัน
โครงการได้เริ่มต้นกระบวนการพัฒนา โดยอบรมเรื่องการวางแผนชีวิตและวางแผนการเงินเป็นอันดับแรก ซึ่งหลังจากที่ผ่านวิชานี้ไป โครงการก็พบว่ากลุ่มสมาชิกได้เปลี่ยนมุมมองการทำงานโดยมีเป้าหมายในชีวิตมากขึ้น รวมถึงมีเป้าหมายในการวางแผนครัวเรือนเพิ่มขึ้นด้วย เพราะวิทยากรได้เน้นเรื่องการคำนวนรายจ่ายคงที่ และการจัดการด้านการเงินให้มีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ มูลนิธิยังมีการจัดทำเสื้อทีมในการประชาสัมพันธ์งานของโครงการ เพื่อกระตุ้นการมีส่วนร่วมของชุมชน ตลอดจนการลงพื้นที่ติดตามผลการดำเนินงานอย่างใกล้ชิด
จากวันที่สมาชิกเข้ามาร่วมฝึกฝนในโครงการจนถึงวันนี้ ก็นับว่าเป็นเวลาหลายเดือนแล้ว เจ้าหน้าที่โครงการและมูลนิธิเองได้เห็นความก้าวหน้าของกลุ่มสมาชิกอย่างชัดเจน โดยเฉพาะเรื่องของการลดละสารเคมีที่ใช้ในการย้อมผ้า “หลังจากที่จัดอบรมเทคนิคการย้อมสีธรรมชาติให้กับสมาชิกในโครงการ สมาชิกคนทอผ้ากว่าครึ่งก็หันมาใช้สีธรรมชาติในการย้อม จากเดิมที่เคยใช้แต่สีเคมีก็เปลี่ยนพฤติกรรมมาเสาะหาไม้ให้สีที่มีอยู่ในชุมชน ไม่ว่าจะเป็น คราม ครั่ง และเข ซึ่งนอกจากเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมแล้ว ยังช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับผลงานด้วย จากผ้าไหมสีเคมีที่ขายได้ในราคา 1300 – 1500 บาท เมื่อปรับมาผลิตด้วยสีธรรมชาติจะขายได้ถึง 2,500 – 3,500 บาท” หนึ่งในเจ้าหน้าที่โครงการกล่าว
“เราได้ปลุกปั้นและฝึกฝนอบรมสมาชิกที่ไม่มีทักษะใดเลย ให้กลายเป็นแรงงานที่มีทักษะฝีมือดี คือสามารถทอผ้า มัดลายและย้อมผ้าด้วยสีธรรมชาติได้ นอกจากนี้โครงการยังเน้นให้สมาชิกจัดทำบัญชีรายรับ – รายจ่าย เพื่อหาวิธีการลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น ซึ่งเป็นทางออกของการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนด้วย”
ในปัจจุบัน นับว่าโครงการได้ก้าวมาไกลจากจุดเริ่มต้นมาพอสมควร ทว่ายังมีระยะทางอีกมากมายกว่าจะถึงจุดที่เรียกได้ว่าประสบความสำเร็จ โดยมูลนิธิขวัญชุมชนได้วางโมดูลการพัฒนาไว้ 4 โมดูล คือ
- โมดูลฝึกวางแผนชีวิตวางแผนการเงิน
- โมดูลฝึกให้ก้าวทันโลกในฐานะผู้ประกอบการผ้าไหมรุ่นใหม่
- โมดูลฝึกการตลาด การพัฒนาผลิตภัณฑ์
- แนวคิด Fair Trade & Supply Chain
หลังจากที่สมาชิกได้เรียนรู้และผ่านการฝึกฝนครบทั้ง 4 โมดูลแล้ว มูลนิธิขวัญชุมชนก็วางวิสัยทัศน์ไว้สำหรับอนาคตดังนี้
- จะต้องพัฒนาผ้าทอพื้นบ้านทั้งในด้านทักษะ ผลิตภัณฑ์ การออกแบบ และการตลาด ให้ครบทั้งระบบ
- ทำให้เกิดการรวมกลุ่มเป็นวิสาหกิจผ้าไหมสร้างสรรค์
- หาโอกาสระดมทุนและทรัพยากรในระดับท้องถิ่น เพื่อสร้างความเข้มแข็งทางการเงินให้กับสมาชิก รวมถึงขยายฐานสมาชิกเป็นคนรุ่นใหม่ๆ ที่มีความสนใจเพิ่มเติมด้วย ซึ่งแน่นอนว่าการขยายฐานสมาชิกโครงการนั้น เป็นก้าวสำคัญที่จะช่วยส่งต่อภูมิปัญญาระหว่างคนรุ่นก่อนและคนรุ่นใหม่ รวมถึงจะสามารถนำไอเดียจากคนรุ่นใหม่มาใช้ในการพัฒนาโครงการได้เป็นอย่างดี
“เราได้ปลุกปั้นและฝึกฝนอบรมให้สมาชิกที่ไม่มีทักษะใดเลย ให้กลายเป็นแรงงานที่มีทักษะฝีมือดี” – หนึ่งในเจ้าหน้าที่โครงการ
