บทที่ 2 ระหว่างทาง

ม.เกษตร สกลนคร ทำโครงการฝึกสอนเกษตรอินทรีย์และการแปรรูปที่สอดแทรกเนื้อหาด้วยเทคโนโลยีที่เหมาะสม เพื่อช่วยเปิดตลาดออนไลน์สร้างโอกาสให้กับเกษตรกร

จังหวัดสกลนครเป็นจังหวัดที่มีสัดส่วนของแรงงานที่เป็นเกษตรกรอาศัยอยู่จำนวนมาก ซึ่งเกษตรกรเหล่านี้ส่วนใหญ่มักจะเป็นผู้ด้อยโอกาสซึ่งขาดแคลนองค์ความรู้และทักษะสมัยใหม่ที่จะช่วยยกระดับอาชีพและคุณภาพชีวิต โครงการพัฒนาทักษะแรงงานฯ จึงได้เกิดขึ้นโดยมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ฯ เพื่อเจาะกลุ่มเป้าหมายที่เป็นเกษตรกรและพัฒนาคนกลุ่มนี้สู่การเป็นผู้ประกอบการด้านข้าวที่มีองค์ความรู้เท่าทันยุคสมัย

ทีมเจ้าหน้าที่จากม.เกษตรได้ลงพื้นที่ดำเนินงานในวิสาหกิจชุมชนดาวล้อมเดือน ตำบลเชียงเครือ อำเภอเมือง จังหวัดสกลนคร และพบว่าจุดเด่นของเกษตรกรในพื้นที่คือพวกเขาเน้นการทำนาแบบอินทรีย์ ทว่าปัญหาที่เกิดขึ้นจากการทำเกษตรในแนวทางนี้โดยขาดองค์ความรู้ก็คือ เมื่อต้องเจอความเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ นาอินทรีย์ก็จะให้ผลผลิตที่ลดน้อยลง นอกจากนี้ยังมีอุปสรรคในเรื่องการเข้าถึงตลาดที่จะมารองรับผลผลิตเหล่านี้ด้วย ทำให้เกษตรกรหลายรายมีรายได้ไม่เพียงพอและต้องหารายได้เสริมจากการรับจ้างทั่วไปหลังฤดูกาลทำนา

โครงการจึงได้วางแผนการพัฒนาทักษะและรับสมาชิกที่เป็นกลุ่มเป้าหมายเข้ามาร่วมฝึกฝนอบรมจำนวน 50 ราย โดยสมาชิกส่วนใหญ่มีอายุระหว่าง 40 – 60 ปี และมีบางส่วนที่สามารถใช้โซเชียลมีเดียเป็นอยู่บ้างแล้ว ซึ่งสอดคล้องกับตัวหลักสูตรที่โครงการได้ทำขึ้น โดยมีรายละเอียดดังนี้ 1.หลักสูตรการผลิตข้าวอินทรีย์ต้นทุนต่ำ 2.หลักสูตรการแปรรูปผลิตภัณฑ์จากข้าว 3.หลักสูตร Digital marketing 4.หลักสูตรการดำเนินชีวิตตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง นอกจากนี้ทางโครงการก็จะเปิดให้คำปรึกษากับเพื่อนพี่น้องสมาชิกต่อไปหลังจากที่โครงการจบลงด้วย

หลังจากที่กลุ่มสมาชิกได้เข้ารับการฝึกฝนจนผ่านในแต่ละหลักสูตรแล้ว เจ้าหน้าที่โครงการก็ได้เห็นความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นคือ “1.ผู้เข้าร่วมโครงการมีอาชีพจากการขายของออนไลน์ผ่านเพจเฟซบุ๊กที่ชื่อ ‘ข้าวเหนียวเดอgrill’ และมีการนำผลิตภัณฑ์จากชุมชนไปวางตามร้านขายของฝากและร้านอาหารในจังหวัดสกลนคร 2.ผู้เข้าร่วมโครงการมีรายได้เฉลี่ยเพิ่มขึ้นจากการขายสินค้าแปรรูปต่อเดือนราวๆ 450 บาท” หนึ่งในเจ้าหน้าที่โครงการได้บอกเล่าถึงความก้าวหน้าที่โครงการได้เข้ามามีส่วนช่วยในการพัฒนาและยกระดับรายได้ให้กับชุมชน

นอกจากฝั่งของเจ้าหน้าที่ที่ช่วยสะท้อนภาพความก้าวหน้าแล้ว ตัวสมาชิกโครงการเองก็มีคำบอกเล่าเช่นกัน โดยหนึ่งในสมาชิกได้สรุปประสบการณ์ให้ฟังว่า “หลังจากอบรมจบแล้วมีทักษะการขายของออนไลน์ที่เก่งขึ้น ซึ่งมันก็ช่วยให้เรามีรายได้เพิ่มขึ้นอีกทางนึงด้วย”

“โครงการนี้เป็นโครงการที่พาลงมือทำจริงๆ ได้วิชาติดตัวแล้วยังสามารถนำไปประกอบอาชีพได้ด้วย เขาสอนตั้งแต่การขายออนไลน์ การถ่ายภาพ ทำบัญชี ทำปุ๋ยหมัก ทำไตรโคเดอร์ม่า ทำขนม ทำข้าวต้มมัด การแพ็คของส่งออนไลน์ การสร้างเพจ สร้างแบรนด์ การคิดต้นทุนสินค้า เรียกได้ว่าช่วยแนะนำตั้งแต่ต้นจนจบ อาจารย์ที่สอนก็ติดตามช่วยเหลือตลอด ทำให้สนุกกับการอบรมมาก” 

เมื่อโครงการวางหลักสูตรไว้อย่างรอบด้านและตรงกับปัญหาของชุมชน ผู้ที่ได้ประโยชน์มากที่สุดคือเหล่าแรงงานในพื้นที่ที่เข้ามาร่วมกิจกรรมฝึกฝนอบรม ซึ่งโครงการฯ จากม.เกษตรก็ได้วางแผนต่อไปถึงการพัฒนาตัวผลิตภัณฑ์ให้มีความหลากหลายและมีคุณภาพมากยิ่งขึ้นเพื่อเจาะตลาดใหม่ๆ ในโลกออนไลน์ให้กว้างขึ้นกว่าเดิม

“โครงการนี้เป็นโครงการที่พาลงมือทำจริงๆ และสอนตั้งแต่ต้นจนจบ อาจารย์ที่สอนก็ติดตามช่วยเหลือตลอด ทำให้สนุกกับการอบรมมาก” หนึ่งในสมาชิกจากโครงการ

 

วิทยาลัยชุมชนพังงาเปิดโครงการฝึกแคดดี้ให้แรงงานนอกระบบ ช่วยสนับสนุนนโยบายการท่องเที่ยวเชิงกีฬาของจังหวัดพังงาเมืองแห่งความสุข

วิทยาลัยชุมชนพังงาคือหน่วยงานด้านการศึกษาที่ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางในการส่งต่อองค์ความรู้และทักษะอาชีพให้กับคนในชุมชน โดยจะมีการลงพื้นที่เพื่อสำรวจความต้องการของประชากรเพื่อนำมาจัดทำหลักสูตรหรือโครงการพัฒนาอยู่เสมอ

ในช่วงปีก่อนวิทยาลัยชุมชนได้ลงพื้นที่สำรวจชุมชนถึง 296 หมู่บ้านจาก 8 อำเภอในจังหวัดพังงา และได้พบว่าประชากรจำนวนหนึ่งมีความต้องการที่จะประกอบอาชีพแคดดี้ เนื่องจากเป็นอาชีพที่สอดคล้องกับบริบทพื้นที่ของจังหวัดที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวและมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาเล่นกอล์ฟจำนวนมาก วิทยาลัยชุมชนจึงได้จัดทำโครงการพัฒนาทักษะการปฏิบัติงานและทักษะการสื่อสารภาษาอังกฤษของพนักงานแคดดี้เพื่อรองรับการท่องเที่ยวเชิงกีฬาของจังหวัดพังงาขึ้น เพื่อตอบความต้องการของประชากรกลุ่มนั้น

หลังจากที่เปิดรับสมัครสมาชิกเข้าร่วมโครงการ ก็มีผู้ที่สนใจสมัครเข้ามาทั้งสิ้น 67 คน ซึ่งสมาชิกทั้งหมดจะได้รับการฝึกฝนอบรมตามหลักสูตรแคดดี้มืออาชีพ ซึ่งเป็นหลักสูตรที่ได้รับการออกแบบโดยวิทยาลัยชุมชนร่วมกับผู้เชี่ยวชาญจากหลากหลายหน่วยงานที่เข้ามาช่วยพัฒนา ไม่ว่าจะเป็นผู้เชี่ยวชาญในสาขาอาชีพจากสนามกอล์ฟ บลูแคนยอน จังหวัดภูเก็ต นักวิชาการอิสระและผู้ทรงคุณวุฒิทางด้านการศึกษา รวมถึงสำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดพังงา ทำให้รับรองได้ว่าหลักสูตรนี้มีมาตรฐานการฝึกอบรมทัดเทียมกับระดับสากล

ประกอบไปด้วยเนื้อหา 5 ส่วน คือ 1.การให้บริการ และบุคลิกภาพ 2.การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ และภาษาอังกฤษสำหรับแคดดี้ 3.ความรู้เกี่ยวกับกีฬากอล์ฟ และการปฏิบัติงานของพนักงานแคดดี้ 4.การยืดเหยียดกล้ามเนื้อ การปฐมพยาบาลเบื้องต้น และโภชนาการสำหรับนักกีฬา 5.การดำรงชีวิตแบบพอเพียงตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง

ในขณะนี้ โครงการพัฒนาฯ กำลังอยู่ระหว่างการดำเนินงาน โดยสมาชิกทุกคนก็กำลังฝึกฝนอบรมอย่างเข้มข้นเพื่อไปสู่เป้าหมายของที่วิทยาลัยชุมชนตั้งใจไว้ว่าจะต้องมีผู้เข้าร่วมโครงการอย่างน้อยร้อยละ 70 ที่สามารถสร้างรายได้จากทักษะและความรู้ที่ได้อบรมจากโครงการผ่านอาชีพแคดดี้ ซึ่งทางวิทยาลัยชุมชนเองก็ได้ร่วมผลักดันเป้าหมายนี้ โดยการลงนามความร่วมมือ MOU กับบริษัท กระทะทอง จำกัด เพื่อรองรับแรงงานผู้ผ่านการฝึกอบรมให้เข้าไปทำงานกับบริษัท ซึ่งข้อตกลงนี้ย่อมจะช่วยสร้างขวัญกำลังใจให้กับสมาชิกทุกคนในการฝึกฝนทักษะของตนเองเพื่อให้ผ่านหลักสูตรแคดดี้มืออาชีพ จนสามารถเข้าไปทำงานกับบริษัทได้อย่างมั่นคง

ดึงเอกลักษณ์ความอร่อยของเครื่องแกงจากชุมชนนีปิสกูเละ มาจัดทำโครงการผลิตเครื่องแกงใต้สร้างรายได้ให้กับชุมชน

เครื่องแกงใต้คือเครื่องแกงที่มีชื่อเสียงด้านกลิ่นและรสที่เข้มข้นอันมีที่มาจากเครื่องเทศที่เป็นเอกลักษณ์ ชื่อเสียงนี้ทำให้เครื่องแกงใต้มีความต้องการสูงในตลาดและถูกผลิตออกมาจำนวนมากหลากหลายยี่ห้อ สิ่งที่เกิดขึ้นคือมีผู้ผลิตหลายเจ้าพากันลดต้นทุนเพื่อเพิ่มกำไรโดยการลดปริมาณสมุนไพรลง ส่งผลต่อมาเป็นกลิ่นและรสชาติที่ผิดเพี้ยนไปจากเดิม ทำให้แกงใต้ที่เป็นสูตรดั้งเดิมแท้ๆ นั้นหายากขึ้นทุกวัน ทว่ายังมีกลุ่มชุมชนแห่งหนึ่งในจังหวัดปัตตานีที่ยังคงรักษาสูตรและรสชาติของเครื่องแกงใต้แท้ๆ เอาไว้ไม่เสื่อมคลาย นั่นคือชุมชนในวิสาหกิจชุมชนแม่บ้านเกษตรกรบ้านราบอ

โครงการสืบสานการทำเครื่งแกงพื้นบ้านสู่รายได้ของชุมชน โดยวิสาหกิจชุมชนแม่บ้านเกษตรกรบ้านราบอ จึงได้เกิดขึ้นจากความตั้งใจหลายประการไม่ว่าจะเป็น การรวบรวมเพื่อสืบสานสูตรเครื่องแกงใต้ของท้องถิ่น การศึกษาช่องทางการตลาดเครื่องแกง การพัฒนาฝีมือของแรงงานในพื้นที่ให้มีทักษะด้านการทำเครื่องแกง และที่สำคัญคือการสร้างงานสร้างอาชีพให้กับคนในชุมชน

กลุ่มเป้าหมายของโครงการนี้ครอบคลุมพื้นที่ใน 3 ชุมชนคือ 1.ชุมชนดาโตะ 2.ชุมชนบ้านนีปิสกูเละ 3.ชุมชนกาแระ ซึ่งมีประชากรส่วนใหญ่ทำอาชีพเกษตรกรรม รองลงมาเป็นแรงงานรับจ้างทั่วไป โดยหลายคนมีสถานะเป็นแรงงานนอกระบบ ผู้สูงอายุ ผู้พิการ และผู้ถือบัตรสวัสดิการฯ รวมถึงบางส่วนก็เป็นผู้ว่างงานด้วย ซึ่งโครงการก็สามารถรวบรวมสมาชิกจากกลุ่มเป้าหมายเหล่านี้ได้ตามเป้าหมายคือ 150 คน

เมื่อได้สมาชิกกลุ่มเข้ามาจากทั้งสามชุมชน โครงการก็ได้จัดเวทีชี้แจงโครงการและได้ผลลัพธ์คืออาชีพ 5 กลุ่มที่แบ่งตามความถนัดของกลุ่มเป้าหมายและความเหมาะสมของพื้นที่ โดยสมาชิกจากชุมชนดาโตะจะใช้รับหน้าที่ทีม ‘ต้นน้ำ’ คือทำการเพาะปลูกวัตถุดิบที่ใช้สำหรับการทำเครื่องแกง สมาชิกจากชุมชนบ้านนีปิสกูเละรับหน้าที่ทีม ‘กลางน้ำ’ คือการผลิตเครื่องแกง ส่วนชุมชนกาแระก็รับหน้าที่เป็น ‘ปลายน้ำ’ คือการทำการตลาดเพื่อจัดจำหน่ายสร้างรายได้ให้กับกลุ่ม ส่วนอีกสองอาชีพคือการเลี้ยงปลาดุก และการเลี้ยงไก่บ้าน ซึ่งเปิดอบรมให้ตามความสนใจของสมาชิก

การแบ่งงานตามความถนัดนี้ทำให้โครงการสามารถฝึกฝนอบรมทักษะต่างๆ ได้อย่างเป็นระบบมากขึ้น ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาโครงการก็สามารถรวบรวมภูมิปัญญาในท้องถิ่นได้จากคน 12 คน และทำการคัดเลือกสูตรเครื่องแกงออกมาได้ 10 สูตร นอกจากนี้ก็มีการฝึกฝนอบรมสมาชิกในโครงการให้มีทักษะตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย 

หลังจากโครงการได้ดำเนินงานมาเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้วก็พบว่า กลุ่มเป้าหมายมีความรู้ความเข้าใจในบริบทพื้นที่ชุมชนที่ตนอาศัยอยู่มากขึ้น กลุ่มเป้าหมายตระหนักและมีความรู้เรื่องการทำบัญชีครัวเรือนและการออมมากขึ้น 

นอกจากนี้ความก้าวหน้าที่โครงการได้ผลักดันให้เกิดขึ้นคือมีการจัดตั้งแกนนำในการทำงานจำนวน 20 คน ที่พร้อมจะทำงานในฐานะเป็นแกนนำด้านการป้อนวัตถุดิบ การผลิต และการจำหน่าย รวมถึงเกิดกลุ่มอาชีพเพิ่มใหม่ๆ เพิ่มขึ้นจากการผลิตเครื่องแกง เช่น การเลี้ยงปลาดุก และการเลี้ยงไก่บ้านด้วย

กศน.บึงกาฬส่งต่อความรู้การสร้างผลิตภัณฑ์จากกกและผือ ช่วยเหลือกลุ่มชาวบ้านในชุมชนที่ประสบปัญหาราคายางตกต่ำ

โครงการพัฒนาอาชีพผลิตภัณฑ์จากกกและผือพื้นที่ชุ่มน้ำโลกกุดทิง เกิดขึ้นมาโดยมีเป้าหมายในการสร้างอาชีพและเพิ่มรายได้ให้กับครัวเรือนและชุมชนในพื้นที่ ผ่านการใช้ทรัพยากรธรรมชาติที่เป็น ‘ต้นทุน’ ของชุมชนอย่างกกและผือ โดยโครงการจะทำหน้าที่เป็นเหมือนศูนย์กลางในการส่งต่อองค์ความรู้และภูมิปัญญาการประดิษฐ์ข้าวของเครื่องใช้จากวัตถุดิบเหล่านั้น

กศน.เมืองบึงกาฬ ในฐานะผู้จัดทำโครงการได้ลงพื้นที่สำรวจชุมชนและพบว่า คนในพื้นที่ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรมและทำสวนยาง ซึ่งในปัจจุบันกำลังประสบปัญหาราคายางตกต่ำ ทำให้รายได้ของครัวเรือนลดลงจนไม่เพียงพอต่อการดำรงชีพ โครงการจึงได้รวบรวมกลุ่มคนด้อยโอกาสและขาดแคลนทุนทรัพย์เหล่านี้เข้ามาเป็นสมาชิกโครงการจำนวน 54 คน ซึ่งประกอบไปด้วย แรงงานนอกระบบ 30 คน ผู้ว่างงาน 8 คน ผู้สูงอายุ 11 คน และผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 5 คน โดยสมาชิกทุกคนมีความสนใจในการพัฒนาทักษะการทอกกเพื่อเป็นผลิตภัณฑ์สร้างรายได้อีกช่องทางหนึ่ง

หลังจากที่ได้กลุ่มสมาชิกที่มีความกระตือรือร้นในการเรียนรู้มาเข้าร่วมกลุ่มแล้ว โครงการก็ดำเนินแผนการพัฒนาทักษะโดยจัดทำหลักสูตรผลิตภัณฑ์จากกกและผือพื้นที่ชุ่มน้ำโลกกุดทิงขึ้นมาโดยใช้ต้นทุนของชุมชน 4 ทุนสำคัญคือ ทุนความรู้ ทุนธรรมชาติ ทุนโครงสร้างพื้นฐาน และทุนด้านเครือข่าย เป็นจุดตั้งต้นในการออกแบบหลักสูตร โดยมีเป้าหมายระยะใกล้คือการยกระดับทักษะของสมาชิก และมีเป้าหมายระยะไกลคือการจัดทำศูนย์ฝึกอาชีพที่สร้างรายได้และสืบสานอัตลักษณ์ท้องถิ่น

หลังจากที่โครงการได้ดำเนินการอบรมฝึกฝนมาแล้วระยะหนึ่ง เจ้าหน้าที่ของหน่วยงานพัฒนาก็ได้เห็นถึงความก้าวหน้าที่น่าสนใจของกลุ่มสมาชิก

“หลังจากที่เราได้เริ่มการอบรมให้กับกลุ่มสมาชิก เราก็ได้เห็นความก้าวหน้าของแต่ละคน เช่น มีการพัฒนาทักษะการแปรรูปผลิตภัณฑ์ ที่สมาชิกสามารถนำไปผลิตเป็นสินค้ากว่า 15 รูปแบบตามความถนัด ซึ่งช่วยสร้างรายได้ให้กับตนเองและครอบครัวมากขึ้น”

หนึ่งในสมาชิกที่เข้าร่วมโครงการได้พูดถึงทักษะที่ตัวเขาได้พัฒนาหลังจากเข้าร่วมการฝึกฝนอบรม “ได้เรียนรู้การแปรรูปผลิตภัณฑ์ ตั้งแต่การตัดแบบ ทากาว และเย็บสอยให้สวยงาม ซึ่งกิจกรรมที่ชอบที่สุดคือกิจกรรมฝึกทักษะอาชีพหลักสูตรผลิตภัณฑ์จากกกและผือ เพราะหลังจากฝึกเสร็จ ก็ทำให้เข้าใจกระบวนการผลิตเป็นอย่างดีและสามารถสร้างรายได้จากวัสดุที่อยู่กับเรามาตั้งแต่เกิด”

เมื่อสมาชิกเริ่มมีความพร้อมในด้านการผลิตแล้ว กศน.เมืองบึงกาฬ ก็ได้มองต่อไปถึงการต่อยอดโครงการให้มีความชัดเจนในเชิงอัตลักษณ์มากขึ้น โดยการคิดค้น ‘Story’ ของสินค้า และพัฒนาบรรจุภัณฑ์ให้มีความสอดคล้องกับเรื่องราวที่จับมาใส่ ซึ่งในส่วนนี้เป็นเทคนิคเชิงการตลาดที่จะช่วยให้จัดจำหน่ายสินค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้กศน. ยังตั้งเป้าหมายในการพัฒนาไปสู่การเป็นศูนย์เรียนรู้ที่เปิดรับผู้ที่สนใจให้เข้ามาฝึกฝนและเรียนรู้ทักษะอาชีพนี้ต่อไป

“หลังจากฝึกเสร็จ ก็ทำให้เข้าใจกระบวนการผลิตเป็นอย่างดีและสร้างรายได้จากวัสดุที่อยู่กับเรามาตั้งแต่เกิด” หนึ่งในสมาชิกโครงการ

 

‘เปลี่ยนงานอดิเรกให้เป็นรายได้’ วิทยาลัยชุมชนนราธิวาสผุดโครงการพัฒนาฝีมือตัดเย็บเสื้อให้กลุ่มสตรีฯ เพื่อสร้างรายได้เสริมให้กับครัวเรือน

วิทยาลัยชุมชนนราธิวาส คือหน่วยงานพัฒนาอาชีพในจังหวัดนราธิวาสที่มีการทำงานร่วมกับชุมชนอย่างต่อเนื่อง โดยโครงการล่าสุดที่วิทยาลัยชุมชนได้จัดขึ้นคือโครงการ ‘แฮนด์ อิน แฮนด์ รือเสาะสร้างอาชีพ สร้างเศรษฐกิจชุมชนยั่งยืน’ ซึ่งมีที่มาจากการที่อำเภอรือเสาะมีต้นทุนทางอาชีพอย่าง ‘โรงงานแฮนอินแฮน’ ซึ่งเป็นโรงงานผลิตเสื้อผ้าที่มีความต้องการในการจ้างแรงงานฝีมือจำนวนมาก

เมื่อเห็นต้นทุนที่ต่อยอดไปสู่การสร้างอาชีพให้กับคนในชุมชนได้ วิทยาลัยชุมชนก็ได้ขยับเข้าไปรับสมัครกลุ่มเป้าหมายจากชุมชน โดยเจาะจงไปที่กลุ่มสตรีในอำเภอรือเสาะที่มีสถานะเป็นแรงงานนอกระบบ คนว่างงาน และผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โดยมีข้อแม้ว่าคนที่เข้ามาสมัครจะต้องมีทักษะพื้นฐานด้านการตัดเย็บชุดพื้นเมืองมาก่อนแล้ว ซึ่งหลังจากผ่านการลงพื้นที่ โครงการก็ได้สมาชิกเข้ามาร่วมงานครบตามเป้าคือจำนวน 60 คน

จากนั้นโครงการก็ได้ออกแบบแนวทางการพัฒนาทักษะฝีมือให้กับกลุ่มสมาชิกโดยวางหลักสูตร ‘การตัดเย็บเสื้อผ้าในโรงงานอุตสาหกรรม’ ที่ได้วิทยากรจากโรงงาน แฮนด์ อิน แฮนด์ เข้ามาช่วยเป็นผู้ฝึกสอน โดยจะมีการอบรมตั้งแต่การใช้จักรอุตสาหกรรม การวาดแบบเสื้อ การตัดเย็บทั้งเสื้อยืด เสื้อโปโล และชุดกีฬา

แต่ในช่วงเวลาที่ผ่านมา ได้มีการระบาดขึ้นของไวรัสโควิด-19 ทำให้โครงการจำต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำงานชั่วคราว โดนหันมาอบรมการตัดเย็บหน้ากากผ้าอนามัยให้กับกลุ่มเป้าหมายแทน เพื่อผลิตสินค้าที่ตรงกับความต้องการของตลาด ณ เวลานั้นออกมา ซึ่งก็ได้รับผลตอบรับเป็นอย่างดี ทำให้แรงงานสามารถสร้างรายได้เข้าครัวเรือนได้แม้จะเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบาก

โครงการได้ตั้งเป้าหมายไว้ว่า หลังจากที่ผ่านพ้นช่วงโควิด-19 ไปแล้ว โครงการจะกลับมาฝึกสอนการตัดเย็บเสื้อตามที่กำหนดเป้าหมายไว้ โดยจะใช้เวลาในการฝึกอบรมเพิ่มเติมอีกราว 1 เดือน และหลังจากนั้นกลุ่มสมาชิกก็จะสามารถเริ่มงานได้ทันที โดยเลือกได้ว่าจะเข้ามาทำงานเป็นพนักงานของโรงงาน หรือจะทำงานจากที่บ้านแล้วส่งผลผลิตเข้ามาที่โรงงานก็ได้เช่นกัน

จากการฝึกฝนตั้งแต่เริ่มต้นโครงการจนถึงวันนี้ หน่วยงานพัฒนาอาชีพก็ได้เห็นความเปลี่ยนแปลงของกลุ่มเป้าหมายไปในทางที่ดีขึ้น โดยสิ่งที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดเลยคือสมาชิกแต่ละคนมีความมั่นใจและมีความหวังในการก้าวไปเป็นผู้ประกอบธุรกิจตัดเย็บเสื้อผ้า ซึ่งทางโครงการก็ได้มองต่อไปว่าจะมีการเปิดอบรมเพิ่มเติมในเรื่องการขายสินค้าออนไลน์ เพื่อเพิ่มช่องทางการจัดจำหน่ายสินค้าให้กับสมาชิกของโครงการต่อไป

 

เด็กและเยาวชนในสถานพินิจฯ นครศรีธรรมราช ร่วมสร้างสภาพแวดล้อมที่ดี พร้อมสะสมทักษะในวิชาชีพช่างปูกระเบื้อง

อาชีพช่างปูกระเบื้องคือวิชาชีพที่มีตลาดงานรองรับอยู่เสมอ ทำให้เป็นทักษะที่เหมาะอย่างยิ่งต่อการฝึกฝนให้กับกลุ่มผู้ต้องโทษที่ใกล้ปล่อยตัว สถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน จังหวัดนครศรีธรรมราช จึงได้วางแนวทางการฝึกสอนทักษะอาชีพนี้ให้เป็นหนึ่งในตัวเลือกของเด็กและเยาวชนที่พำนักอยู่ในศูนย์

โครงการยกระดับฝึกมือช่างฯ จะทำการคัดเลือกเยาวชนในศูนย์ที่สนใจในวิชาชีพมาจำนวน 90 คน จากนั้นก็จะแบ่งกลุ่มออกเป็น 3 กลุ่ม ก่อนจะทยอยเข้ามารับการฝึกฝนทีละกลุ่ม โดยสมาชิกโครงการทั้ง 3 กลุ่มหรือ 3 รุ่นนี้ จะได้รับการดูแลและอบรมเหมือนกันทั้งหมด เริ่มตั้งแต่การสอนทักษะการปูประเบื้องระดับพื้นฐาน ไปจนถึงขั้นสูง จากนั้นก็จะมีการฝึกภาคปฏิบัติกับวิทยากรในช่วงท้ายของการอบรม นอกจากมีการฝึกสอนในด้านวิชาชีพแล้ว โครงการยังสอดแทรกการอบรมด้านทัศนคติให้กับกลุ่มเป้าหมายด้วย อย่างเช่น การจัดกิจกรรมสร้างแรงบันดาลใจและกิจกรรมสร้างการรู้จักตัวเอง เป็นต้น รวมทั้งสิ้น 90 ชั่วโมงตลอดหลักสูตร

ระหว่างที่มีการเรียนการสอน ทางโครงการและวิทยากรสามารถสังเกตเห็นได้ถึงความกระตือรือร้น ความสามัคคีและทักษะการทำงานเป็นทีมของกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งนับว่าเป็นสัญญาณที่สะท้อนให้เห็นว่าพวกเขานี้มีความสุขกับงานและอาชีพในสาขานี้ 

หลังจากที่การฝึกได้ดำเนินมาแล้วระยะเวลาหนึ่ง ทางสถานพินิจฯ ก็ได้เห็นความเปลี่ยนแปลงของสมาชิกที่โดดเด่นคือสมาชิกมีความมั่นใจในตัวเองมากขึ้น เห็นคุณค่าของตัวเอง และมีการยอมรับกันเองในกลุ่มมากขึ้น ซึ่งตลอดการอบรมฝึกฝนทางหน่วยงานพัฒนาไม่เจอปัญหาใดๆ ที่ทำให้โครงการต้องหยุดชะงักเลย

ความก้าวหน้าของกลุ่มเป้าหมายทั้ง 3 รุ่น เป็นนิมิตหมายอันดีที่ทำให้มั่นใจได้ว่าหลังจากที่เด็กและเยาวชนกลุ่มนี้กลับมาสู่สังคม พวกเขาจะมีทักษะการทำงานที่ได้มาตรฐาน รวมถึงสามารถนำไปต่อยอดเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มได้ และที่สำคัญคือเขาจะมีอาชีพการงานที่ทำให้ดูแลตัวเองได้ และอยู่ห่างไกลจากการหวนกลับมากระทำผิดซ้ำ

วิสาหกิจชุมชนภูสิบแสน เปิดโครงการฝึกอาชีพเสริมให้กับเกษตรกรผู้ถือบัตรสวัสดิการฯ ช่วยสร้างรายได้ระหว่างวิกฤติพืชผลราคาตกต่ำ

ชุมชนในอำเภอพิปูนมีประชากรส่วนใหญ่ทำอาชีพเกษตรกร ซึ่งแรงงานเหล่านี้คือแรงงานนอกระบบที่ไม่มีหลักประกันด้านความมั่นคงของชีวิตแต่อย่างใด โดยเฉพาะอย่างยิ่งชุมชนพิปูนเป็นอำเภอที่อยู่ห่างไกลจากตัวเมืองทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำทั้งด้านของรายได้และการรับรู้ข่าวสารต่างๆ ทำให้กลุ่มวิสาหกิจชุมชนสวนเกษตรอินทรีย์ภูสิบแสน ได้ริเริ่มโครงการพัฒนาอาชีพเพื่อสร้างรายได้เสริมฯ ขึ้นมา โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อลดช่องว่างของความเหลื่อมล้ำ และหยิบยื่นโอกาสในการเรียนรู้ฝึกฝนทักษะอาชีพให้กับคนในพื้นที่ โดยเฉพาะองค์ความรู้ด้านการแปรรูปผลผลิตเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าของตน

กลุ่มเป้าหมายของโครงการคือแรงงานนอกระบบจำนวน 50 คน ที่พร้อมเข้ารับการพัฒนาเสริมสร้างทักษะอาชีพใหม่ๆ รวมถึงการต่อยอดผลิตภัณฑ์ของตัวเอง เพราะจากการสำรวจพบว่าทั้ง 50 คน มีอาชีพและความสามารถที่แตกต่างกัน เช่น บางคนมีความรู้ด้านการเกษตร บางคนเก่งด้านขายของออนไลน์ และบางคนก็ทำธุรกิจขายอาหาร แต่สิ่งที่ทุกมีร่วมกันคือสมาชิกทั้งหมดต้องการสร้างกลุ่มอาชีพเพื่อต่อยอดร่วมกันหลังจากการฝึกอบรม

โครงการจึงได้ออกแบบหลักสูตรการอบรมจากการวิเคราะห์กกลุ่มเป้าหมาย พร้อมๆ กับการสำรวจต้นทุนของชุมชนที่มีทรัพยากรอันอุดมสมบูรณ์ มีแหล่งน้ำขนาดใหญ่ รวมถึงมีวัตถุดิบที่พร้อมต่อการผลิต ทำให้โครงการได้คิดค้นแผนการพัฒนาออกมาได้ 4 หลักสูตรตามสาขาอาชีพที่กลุ่มสมาชิกให้ความสนใจ คือ

  1. การผลิตและแปรรูปน้ำผึ้ง และการทำคอนโดผึ้ง
  2. การผลิตและแปรรูปเห็ดแครง
  3. การผลิตและแปรรูปมะพร้าว
  4. การผลิตและแปรรูปกล้วย

นอกจากนี้ก็มีการอบรมที่ทุกกลุ่มต้องเข้าร่วมเหมือนกันคือการทำตลาดทั้งในโลกออนไลน์และออฟไลน์ เพื่อเรียนรู้และเข้าใจช่องทางการจัดจำหน่ายสินค้า

ในเบื้องต้นโครงการได้เห็นความสนใจที่จะเรียนรู้และฝึกฝนจากกลุ่มสมาชิกอย่างแรงกล้า เพราะนี่คือโอกาสครั้งสำคัญในการเข้ามาสร้างอาชีพและเครือข่ายที่จะช่วยเอื้อประโยชน์ต่อกันในอนาคต แต่อาจจะต้องใช้เวลาในการดำเนินโครงการไปอีกสักระยะหนึ่ง เพื่อที่จะได้เห็นรูปแบบของผลลัพธ์ว่ากลุ่มสมาชิกที่ได้เข้ามาฝึกฝนอบรมทักษะต่างๆ ได้มีความก้าวหน้าในเชิงฝีมือและองค์ความรู้อย่างไร

วิทยาลัยชุมชนตากจัดทำโครงการพัฒนาแรงงาน 3 วิชาชีพ ช่วยลดคนว่างงาน ยกระดับคุณภาพชีวิต ตอบโจทย์พื้นที่เศรษฐกิจพิเศษใน 3 อำเภอ

โครงการพัฒนาทักษะฝีมือแรงงานฯ ถือกำเนิดขึ้นมาโดยมีเป้าหมายที่ชัดเจน คือการยกระดับแรงงานไร้ฝีมือให้กลายมาเป็นแรงงานฝีมือที่เป็นที่ต้องการของตลาดให้ได้ แต่การจะทำเช่นนั้นให้สำเร็จ นอกจากจะต้องมีแผนพัฒนาและหลักสูตรที่ดีแล้ว ตัวผู้เข้าอบรมเองจะต้อง ‘มีใจ’ ที่รักและสนใจในทักษะอาชีพนั้นอย่างจริงจังด้วย

วิทยาลัยชุมชนตากจึงได้แตกหลักสูตรพัฒนาทักษะอาชีพออกเป็น 3 อาชีพ เพื่อตอบความต้องการอันหลากหลายของกลุ่มเป้าหมาย คือ อาชีพช่างเชื่อมโลหะ อาชีพการนวดไทยเพื่อสุขภาพ และอาชีพแปรรูปผลิตภัณฑ์ของใช้จากผ้าปกาเกอะญอ โดยกลุ่มเป้าหมายหลักที่ทางโครงการจะรับเข้ามาฝึกฝนอบรม คือกลุ่มผู้ด้อยโอกาสและขาดแคลนทุนทรัพย์จากทุกพื้นที่ในจังหวัดตาก จำนวน 130 คน

เมื่อมีสมาชิกครบตามเป้าที่ตั้งไว้แล้ว โครงการก็จะเริ่มจำแนกให้สมาชิกแต่ละคนเข้าอบรมในหลักสูตรที่ตนเองสนใจ
โดยมีรายละเอียดดังนี้

  1. 1.หลักสูตรช่างเชื่อมโลหะ จะมีการเรียนตั้งแต่ทฤษฎีจนถึงภาคปฏิบัติ และหลังจากนั้นก็จะมีการให้ผู้เรียนออกไปฝึกงานกับผู้ประกอบการจริงๆ ด้วย รวมใช้เวลาตลอดหลักสูตรทั้งสิ้น 150 ชั่วโมง
  2. หลักสูตรการนวดไทยเพื่อสุขภาพ จะมีการเรียนตั้งแต่ทฤษฎีจนถึงภาคปฏิบัติ และหลังจากนั้นก็จะให้ผู้เรียนออกไปฝึกงานเพื่อสั่งสมประสบการณ์นวดจริงกับลูกค้า รวมใช้เวลาตลอดหลักสูตรทั้งสิ้น 150 ชั่วโมง
  3. หลักสูตรการแปรรูปผลิตภัณฑ์ผ้าปกาเกอะญอ จะฝึกสอนเรื่องการแปรรูปผลิตภัณฑ์ให้เกิดมูลค่าเพิ่ม
    โดยให้สมาชิกแต่ละคนนำเอาผ้าทอของตัวเองมาต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์ เช่น ทำเป็นกระเป๋าสำหรับสตรี หรือ ของใช้อื่นๆ ที่ผลิตด้วยมือ รวมใช้เวลาตลอดหลักสูตรทั้งสิ้น 75 ชั่วโมง

หลังจากที่โครงการได้เริ่มต้น ในระยะแรกกลุ่มเป้าหมายทั้ง 130 คนมีความกระตือรือร้นและมุ่งมั่นที่จะเข้ามาฝึกฝนทักษะของตน ทำให้เห็นถึงแนวโน้มว่าหลังจากที่ทุกหลักสูตรได้สิ้นสุดลงแล้ว สมาชิกทุกคนจะมีทักษะอาชีพที่เพิ่มขึ้นและสามารถสร้างรายได้ที่มั่นคงให้กับตัวเองและครอบครัวได้

วิสาหกิจชุมชนแม่นาจร ‘ยืนหยัดในวิถีอินทรีย์’ ผ่านโครงการที่จะช่วยพัฒนาฝีมือเกษตรกรให้สามารถผลิต แปรรูป และขายได้อย่างครบวงจร

จังหวัดเชียงใหม่เป็นหนึ่งในจังหวัดที่ปลูกพืชพรรณเมืองหนาวได้งดงาม เพราะด้วยสภาพอากาศและอุณหภูมิที่ต่ำกว่าพื้นที่อื่น โดยเฉพาะบนภูเขาหรือดอยสูง ทำให้สามารถปลูกผลไม้หรือพืชเมืองหนาว ที่ไม่สามารถปลูกในพื้นที่อื่นๆ ของประเทศไทยได้ แต่หลายครั้งเรามักได้ยินว่าเกษตรกรส่วนใหญ่เลือกใช้สารเคมีในการดูแลรักษาพืชพรรณเหล่านั้น เพื่อเพิ่มปริมาณผลผลิต รวมถึงเพิ่มมูลค่าจากความสวยงามของหน้าตาผลผลิตด้วย

โครงการพัฒนาศักยภาพฯ ที่จัดขึ้นโดยวิสาหกิจชุมชนเกษตรอินทรีย์ตำบลแม่นาจร จึงได้ก่อตั้งขึ้นมาพร้อมกันเป้าประสงค์ในการยกระดับเกษตรกรในพื้นที่ให้มีทักษะและช่องทางการหารายได้จากการทำเกษตรอินทรีย์ที่ ยั่งยืน ผ่านการทำการตลาดและบริหารตลาดสินค้าเกษตร ขณะเดียวกันก็ยังมองไปถึงความสำคัญของการแปรรูปผลไม้เมืองหนาวเหล่านั้นให้มีมูลค่ามากยิ่งขึ้นด้วยวิธีการที่ปลอดภัย ไร้สารเคมี

กลุ่มเป้าหมายของโครงการอยู่ในพื้นที่ของหมู่บ้านห้วยขมิ้น ซึ่งมีประชากรส่วนใหญ่เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ปกาเกอะญอที่ประกอบอาชีพเกษตรกร โดยมีการทำไร่นาตลอดทั้งปี เช่น ผักสลัด ผลไม้เมืองหนาว กาแฟ อะโวคาโด เป็นต้น ต้นทุนที่ชุมชนแห่งนี้มีคือเป็นชุมชนที่มีความแข็งแรงในวิถีเกษตรอินทรีย์มาอยู่แล้ว โดยกลุ่มเกษตรกรมีการปลูกพืชที่หลากหลาย รวมถึงมีตลาดขนาดใหญ่รองรับสินค้า ทว่าคนในชุมชนยังขาดความรู้ด้านการบริหารจัดการการตลาด รวมถึงการขนส่งสินค้าที่มีประสิทธิภาพ โครงการจึงได้เข้าไปช่วยเติมเต็มในส่วนนี้ โดยเปิดรับสมาชิกเข้าอบรมฝึกฝนจำนวน 150 คน ซึ่งประกอบไปด้วยแรงงานนอกระบบ 100 คน ผู้สูงอายุ 20 คน ผู้ว่างงาน 20 คน และผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 10 คน

หลังจากที่โครงการมีสมาชิกครบตามจำนวนที่คาดหวังแล้ว ก็เริ่มดำเนินงานตามแผนพัฒนาที่วางไว้ ไม่ว่าจะเป็น
การอบรมเพื่อวิเคราะห์ปัญหาและการวางแผนการบริหารจัดการไม้ผลเมืองหนาวในช่วงฤดูเก็บเกี่ยว ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับกาแฟอาราบิก้า/ลูกพลับ/สตรอว์เบอร์รี การฝึกอบรมระบบการรับรองมาตรฐาน การแปรรูปกาแฟอาราบิก้า โดยตลอดหลักสูตรจะมีวิทยากรที่มีความรู้เชี่ยวชาญในทักษะนั้นมาเป็นผู้แนะแนวและฝึกสอน ทำให้กลุ่มสมาชิกได้รับองค์ความรู้จากผู้มีประสบการณ์อย่างแท้จริงหนึ่งในสมาชิกของโครงการได้เล่าถึงความประทับใจต่อกระบวนการพัฒนาทักษะของโครงการว่า “ผมคิดว่า โครงการนี้เป็นการเปิดโอกาสให้ชาวบ้านได้ลองทำ ลองเรียนรู้ทั้งเรื่องการทำเกษตรอินทรีย์ การแปรรูปผลผลิตทางการเกษตร ที่เป็นการสร้างคุณค่าในตนเอง และคุณค่าต่อชุมชน อีกทั้งยังช่วยลดความเหลื่อมล้ำในชุมชนลงได้ด้วย”

ถึงแม้การทำเกษตรอินทรีย์จะยังไม่สามารถแพร่หลายไปสู่เกษตรกรทุกภูมิภาคได้ แต่ก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจที่ได้เห็นว่าภาคส่วนเล็กๆ อย่างพื้นที่บ้านห้วยขมิ้นกำลังปลูกฝังแนวคิดเกษตรปลอดภัยอย่างเข้มข้น ซึ่งต่อไปเมื่อเกษตรกรในพื้นที่ใกล้เคียงเห็นว่าตลาดของพืชผักอินทรีย์มีมูลค่าและเป็นที่ต้องการมากขึ้น โครงการและหน่วยงานพัฒนาแห่งนี้ก็จะกลายมาเป็น ‘ศูนย์กลาง’ ในการผลิตเกษตรกรวิถีอินทรีย์ต่อไป ซึ่งนี่ก็เป็นหนึ่งในเป้าหมายของวิสาหกิจชุมชนเกษตรอินทรีย์ตำบลแม่นาจร จังหวัด เชียงใหม่ ที่ต้องการส่งต่อคุณภาพชีวิตที่ดีตั้งแต่เกษตรกรไปจนถึงผู้บริโภคอย่างครบวงจร

ม.แม่โจ้-ชุมพร จัดโครงการยกระดับฝีมือการผลิตสบู่สมุนไพร เชื่อมการท่องเที่ยวกับผลิตภัณฑ์ชุมชนบ้านทรัพย์ทวี

ชื่อของโครงการ ‘พัฒนาศักยภาพการทำสบู่สมุนไพรน้ำผึ้งเพื่อสร้างรายได้เพิ่มแก่เกษตรกรในพื้นที่ทุรกันดาร’
นั้นอธิบายตัวเองได้เป็นอย่างดีอยู่แล้วว่าโครงการนี้มีจุดประสงค์อย่างไร พื้นที่ทุรกันดารที่อยู่ในชื่อของโครงการนั้นหมายถึงชุมชนบ้านทรัพย์ทวี (หมู่ที่ 19) ตำบลละแม อำเภอละแม จังหวัดชุมพร เนื่องจากพื้นที่แห่งนี้มีความยากลำบากทั้งด้านการคมนาคม การติดต่อสื่อสาร รวมถึงการชลประทานด้วย ปัญหาอีกอย่างนอกจากความทุรกันดารคือผู้คนที่อาศัยในชุมชนส่วนใหญ่ทำอาชีพเกษตรกร เช่น ทำสวนยาง สวนปาล์มน้ำมัน ซึ่งผลผลิตเหล่านี้ก็มีราคาที่ตกต่ำเป็นระยะเวลานาน ทำให้รายได้ของคนในชุมชนมีไม่เพียงพอต่อการดำรงชีพ

แต่ชุมชนบ้านทรัพย์ทวีก็ยังมีต้นทุนของชุมชนที่ดี คือความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรธรรมชาติและเต็มไปด้วยสมุนไพรมากมาย จึงทำให้มีการรวมกลุ่มกันในชุมชนเพื่อผลิตสบู่สมุนไพร ทว่ายังขาดความต่อเนื่องและความเอาจริงเอาจัง ทำให้ไม่สามารถต่อยอดสินค้าไปสู่ตลาดที่ใหญ่ขึ้นได้

นอกจากนี้บ้านทรัพย์ทวียังมีต้นทุนทางสังคมที่แข็งแรง เช่น สมาชิกมีความสามัคคีและความเข้มแข็ง มีผู้นำและแกนนำที่เข้มแข็ง และเป็นศูนย์รวมของจิตใจและจิตวิญญาณของชุมชน และมีการรวมกลุ่มองค์กรย่อยและมีผู้นำกลุ่มที่ชัดเจน ทำให้การรวมกลุ่มใหญ่ทำได้ง่าย แต่สิ่งทีสำคัญอีกอย่างนอกเหนือจากต้นทุนทางธรรมชาติและต้นทุนทางสังคมก็คือ ต้นทุนทางภูมิปัญญา ซึ่งชุมชนในอำเภอละแมนั้นมีภูมิปัญญาท้องถิ่นที่หลากหลาย โดยเฉพาะ เรื่องของหมอสมุนไพรในชุมชนที่มีการถ่ายทอดภูมิปัญญาการผลิตสมุนไพรพื้นบ้านผ่านรุ่นสู่รุ่น ซึ่งภูมิปัญญาเหล่านี้สามารถนำมาประยุกต์ และเพิ่มมูลค่าให้เกิดเป็นแหล่งรายได้ของชุมชนได้

มหาวิทยาลัยแม่โจ้ จังหวัดชุมพร ได้เข้าไปวิเคราะห์ชุมชนและได้รับรู้ถึงจุดแข็งเหล่านี้ จากนั้นจึงได้จัดทำโครงการที่จะเข้ามาเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับกลุ่มธุรกิจของคนในชุมชนที่มีอยู่แล้ว โดยใช้กลุ่มผลิตสบู่สมุนไพรเป็นแกนหลักในการพัฒนา เนื่องจากเป็นกลุ่มที่ดึงเอาต้นทุนของชุมชนอย่างสมุนไพรมาผลิตเป็นสินค้า ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางการทำงานของม.แม่โจ้

โครงการได้วางรูปแบบของกลุ่มเป้าหมายเอาไว้ว่าจะต้องเป็นกลุ่มผู้ด้อยโอกาสในชุมชน เช่น แรงงานนอกระบบ ผู้สูงอายุ และผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โดยเมื่อได้สมาชิกตามเกณฑ์ครบ 100 คนแล้ว โครงการก็ได้วางแผนแม่แบบในการพัฒนาทักษะที่จำเป็น ออกเป็น 3 ด้าน ได้แก่ ความรู้ ทัศนคติ และทักษะ โดยมีกระบวนการและกิจกรรม เพื่อส่งเสริมทั้งสามด้านคือ

  1. ด้านความรู้ – กิจกรรมฝึกอบรมการบริหารโครงการแบบมีส่วนร่วม การศึกษาดูงาน การทำสบู่สมุนไพรน้ำผึ้ง
    การตลาดและช่องทางการจัดจำหน่าย การเป็นผู้ประกอบการที่ดี
  2. ด้านทัศนคติ – กิจกรรมอบรมปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
  3. ด้านทักษะ – กิจกรรมอบรมทักษะการสื่อสารและการเป็นนักขายมืออาชีพ

หลังจากที่สมาชิกทั้งหมดได้เข้ามาฝึกฝนตามหลักสูตรที่ได้วางไว้ โครงการก็ได้พบว่ากลุ่มเป้าหมายทั้ง 100 คน มีความก้าวหน้าในหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นความกระตือรือร้นในการเข้ารับการฝึกฝน ความสามัคคีและช่วยกันทำงานร่วมกับมหาวิทยาลัยแม่โจ้ มีการพัฒนาทักษะการทำงานเป็นทีม มีความกล้า สดงออกและแสดงความเห็น และสามารถยอมรับความคิดเห็นจากเพื่อนร่วมกลุ่มได้ดี

การพัฒนาที่เกิดขึ้นกับกลุ่มเป้าหมาย แน่นอนว่าไม่ได้เกิดจากหน่วยงานเจ้าของโครงการเพียงฝ่ายเดียว แต่เกิดจากภาคีหลายฝ่ายที่เข้ามาร่วมมือกัน ซึ่งหากพูดถึงบุคคลสำคัญที่เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงหรือ ‘Key man’ ก็คงจะต้องกล่าวถึงบุคคลจากสองหน่วยงานคือ พัฒนาชุมชนอำเภอละแม ซึ่งเป็นผู้วางแผนและจัดตั้ง “หลาดใต้เคี่ยม” ซึ่งเป็นตลาดที่เกิดขึ้นโดยอาศัยความร่วมมือของประชาชนในพื้นที่ ไม่ได้ใช้งบประมาณของภาครัฐในการจัดตั้ง และมีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับในระดับประเทศ และผู้ใหญ่บ้าน บ้านทรัพย์ทวี ซึ่งเป็นผู้นำที่พูดจริง ทำจริง และมีวิสัยทัศน์ในการพัฒนาหมู่บ้าน โดยมีส่วนสำคัญในการประสานงาน ให้ข้อมูลเกี่ยวกับพื้นที่ และเป็นแกนนำในการเป็นตัวอย่างให้กับกลุ่มสมาชิกจนโครงการสามารถลุล่วงไปได้อย่างราบรื่น

อาจต้องใช้เวลาอีกสักระยะเราถึงจะได้มีโอกาสเห็นภาพรวมของโครงการ ว่าสุดท้ายแล้วกระบวนการพัฒนาทักษะทั้งหมดมีส่วนเสริมให้ชุมชนบ้านทรัพย์ทวีเติบโตขึ้นไปในทิศทางใดบ้าง รวมถึงเป็นเรื่องน่าติดตามต่อว่าธุรกิจของชุมชนอย่างสบู่สมุนไพรน้ำผึ้งที่มีคนกว่า 100 คนร่วมกันทำงานจะมีผลลัพธ์ออกมาแบบไหน ซึ่งเราคงได้เห็นรายละเอียดที่มากขึ้นภายในเวลาอีกไม่นาน

เตรียมพร้อมสำหรับโอกาสที่สอง! ม.นครพนมเปิดหลักสูตรซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้าในสถานพินิจฯ พร้อมสนับสนุนต่อจนถึงมืออาชีพ

โครงการพัฒนาทักษะแรงงานอาชีพการซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้าและระบบไฟฟ้าในบ้านพักอาศัย แก่แรงงานด้อยโอกาสในพื้นที่จังหวัดนครพนม เป็นโครงการที่จัดทำขึ้นมาโดยการร่วมมือกับสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน จังหวัดนครพนม เพื่อเป็นการมอบโอกาสให้กับกลุ่มเยาวชนผู้ต้องโทษในการฝึกฝนวิชาชีพที่สามารถนำไปสร้างงานสร้างรายได้ให้แก่ตัวเองในอนาคต โดยทางคณะเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยนครพนม ซึ่งเป็นผู้จัดโครงการนั้น ได้เลือกเอาอาชีพยอดนิยมที่มีตลาดแรงงานรองรับอยู่เสมออย่าง ‘อาชีพซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้า’ มาเป็นทักษะที่ใช้ฝึกฝนแรงงานกลุ่มนี้

ในช่วงเริ่มต้น ทางโครงการได้ลงพื้นที่เพื่อรับสมัครสมาชิก ซึ่งก็ได้รับการตอบรับอย่างดีจากเยาวชนในศูนย์ โดยสามารถหาสมาชิกได้ครบตามเป้าคือจำนวน 150 คน ซึ่งทุกคนก็ผ่านเกณฑ์การคัดเลือกแล้วว่ามีความต้องการในการเรียนรู้และฝึกอาชีพอย่างแท้จริง หลังจากนั้นโครงการก็ได้บูรณาการความร่วมมือกับเครือข่ายในหลายภาคส่วนเพื่อร่วมกันสร้างหลักสูตรที่มีประสิทธิภาพขึ้น ไม่ว่าจะเป็น สำนักงานพัฒนาฝีมือแรงงานนครพนม สภาเด็กและเยาวชน และร้านซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้า

ระหว่างการฝึกฝนอบรมตามหลักสูตร โครงการได้รับองค์ความรู้และทักษะ จากคณะเทคโนโลยีอุตสาหกรรม สำนักงานพัฒนาฝีมือแรงงานนครพนม ในการถ่ายทอดประสบการณ์สู่กลุ่มเป้าหมาย รวมถึงใช้พื้นที่และสภาพแวดล้อมจริงของสถานพินิจฯ และสำนักงานพัฒนาฝีมือแรงงานเป็นแหล่งเรียนรู้และฝึกฝนจริง นอกจากนี้โครงการยังได้สอดแทรกการเสริมสร้างทัศนคติที่ดีให้แก่กลุ่มสมาชิกผ่านกิจกรรม ‘การวางแผนชีวิต’ ด้วย ซึ่งหัวข้อนี้นับว่าเป็นหนึ่งในหัวข้อที่สำคัญที่สุดของการจัดอบรม เพราะเป็นการอบรมที่สอนให้กลุ่มสมาชิกได้รู้จักตัวเองและเข้าใจชีวิตมากขึ้น รวมถึงรู้จักการวางแผนสำหรับอนาคตหลังพ้นโทษ ซึ่งจะช่วยลดโอกาสในการกลับมากระทำผิดซ้ำได้เป็นอย่างดี

หลังจากที่สมาชิกได้ผ่านการอบรมมาแล้วระยะเวลาหนึ่ง โครงการก็พบว่าพวกเขามีความเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นผลคะแนนการทดสอบความรู้ที่มีมากขึ้นก่อนการอบรม มีทักษะการซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้าและความเข้าใจในระบบไฟฟ้ามากกว่าเดิม มีทัศนคติต่อการวางแผนชีวิตหลังพ้นโทษในทางที่ดี และมีความเข้าใจชีวิตมากขึ้น

โดยรวม ผลลัพธ์จากการจัดกิจกรรมพัฒนาทักษะฯ มีความก้าวหน้าไปในทางบวก ซึ่งโครงการก็ได้วางแผนไว้ว่าหลังจากที่โครงการได้เสร็จสิ้นลง หน่วยพัฒนาจะยังคงติดตาม ประเมินผล และส่งเสริมกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการต่อยอดทักษะเพิ่มเติม นอกจากนี้ยังมีแผนการเปิดช่องทางการสื่อสารออนไลน์เพื่อให้คำปรึกษาแก่กลุ่มสมาชิกต่อไป

 

‘ไท่ซิวเอวี๋ยน’ สถานธรรมที่ขับเคลื่อนชุมชมบ่อพลอยด้วยการเปิดโครงการฝึกทักษะเกษตรอินทรีย์

จากสถานปฏิบัติธรรมสู่การเป็นศูนย์กลางด้านการพัฒนาทักษะอาชีพ สถานธรรมไท่ซิวเอวี๋ยน จังหวัดกาญจนบุรี
ได้จัดทำโครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตเกษตรกรขึ้น เพื่อยกระดับองค์ความรู้ให้กับกลุ่มเกษตรกรและชาวบ้านในพื้นที่ใกล้เคียง โดยหวังว่าโครงการนี้จะช่วยพัฒนาระดับรายได้และคุณภาพชีวิตของคนในพื้นที่ให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น

จากความตั้งใจนี้สถานปฏิบัติธรรมจึงได้ทำการสำรวจกลุ่มเกษตรกรที่เข้ามาร่วมกิจกรรมกับสถานธรรมจำนวน 50 คน และพบว่าคนส่วนใหญ่เป็นเกษตรกรที่ขาดโอกาสทางการศึกษา บางส่วนเป็นแรงงานพลัดถิ่น และประสบปัญหาขาดแคลนที่ดินทำกิน ทำให้ชีวิตของคนกลุ่มนี้ไม่มีความมั่นคง

สถานธรรมฯ จึงได้ออกแบบแนวทางพัฒนาทักษะเป็น 3 ส่วนเพื่อแก้ไขปัญหานี้คือ

  1. หลักสูตรความรู้พื้นฐานการเกษตรอินทรีย์
  2. หลักสูตรการผลิตผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดจากธรรมชาติ
  3. หลักสูตรการแปรรูปผลผลิตทางการเกษตรเพื่อเพิ่มมูลค่า โดยมีเป้าหมายในอนาคตคือการพัฒนาชุมชนสู่การเป็นพื้นที่ ‘ตลาดสีเขียว’ ศูนย์กลางการซื้อ-ขายสินค้าอินทรีย์ ทั้งในโลกออนไลน์และออฟไลน์

นอกจากการที่สถานธรรมได้สรรหาวิทยากรผู้มีความเชี่ยวชาญเข้ามาฝึกอบรมสมาชิกในทั้ง 3 หลักสูตรแล้ว ยังมีการทำงานร่วมกับภาคีเครือข่ายอย่างคุณสุธรรม จันทร์อ่อน ซึ่งเป็นปราชญ์เกษตรของแผ่นดิน สาขาปราชญ์เกษตรเศรษฐกิจพอเพียง โดยคุณสุธรรมได้เข้ามาช่วยเหลือตลอดกระบวนการอบรม ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ จนถึงปลายน้ำ ซึ่งช่วยสร้างความมั่นใจให้กับกลุ่มสมาชิก รวมถึงมีการแบ่งปันประสบการณ์และทิศทางการดำเนินงานให้กับโครงการได้เป็นอย่างดี

ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นกับกลุ่มเป้าหมายในช่วงเวลาที่ผ่านมานับว่ามีความก้าวหน้าเป็นอย่างมาก โดยจากคำบอกเล่าของหนึ่งในเจ้าหน้าที่โครงการคือ “ก่อนเข้าร่วมอบรมในโครงการ กลุ่มชาวบ้านไม่ค่อยให้ความสำคัญกับการปลูกผักไว้กินเอง แต่ต่อมาเมื่อได้มีการเรียนรู้ถึงโทษของการใช้สารเคมีจากผักในตลาด เขาก็เริ่มตระหนักถึงเรื่องสุขภาพ จึงหันมาปลูกพืชผักไว้กินเองในครอบครัวมากขึ้น”

“นอกจากนี้หลังจากที่ได้เรียนรู้เรื่องการแปรรูปสินค้า สมาชิกก็ได้นำไปปฏิบัติต่อด้วยตัวเอง เช่น จากที่เคยปล่อยให้มะม่วงในสวนหล่นร่วงจนเน่าเสียเพราะขายไม่ได้ราคา ก็นำมากวนและช่วยกันนำมาขายในช่องทางออนไลน์กัน ซึ่งช่วยเพิ่มรายได้ให้กับสมาชิกในโครงการได้ถึง 10 เปอร์เซ็นต์”

ขณะเดียวกัน ในด้านของสมาชิกที่ได้รับการอบรมก็มีความเห็นในแง่บวกต่อโครงการ โดยหนึ่งในสมาชิกได้เล่าให้ฟังว่า “รู้สึกประทับใจในโครงการอย่างมาก เพราะสามารถทำให้คนที่ทำอะไรไม่สำเร็จ ประสบความสำเร็จได้จากความพอเพียงในสิ่งที่เรามีอยู่ และทักษะต่างๆ ที่ได้รับการอบรมก็ช่วยให้พึ่งพาตัวเองได้ดีกว่าเดิม มีชีวิตที่มั่นคงขึ้น”

ความพอเพียงคือหลักปรัชญาที่สถานธรรมไท่ซิวเอวี๋ยนได้ส่งต่อให้กับกลุ่มสมาชิกโครงการอยู่เสมอ เพราะนอกจากการพัฒนาทักษะฝีมือในการประกอบอาชีพแล้ว การพัฒนาหลักคิดควบคู่ไปด้วยย่อมจะทำให้คนผู้นั้นสร้างความมั่นคงให้กับชีวิตตัวเองได้อย่างยั่งยืน จึงเป็นเรื่องน่าติดตามต่อไปว่า ภายหลังจากที่เหล่าสมาชิกได้รับการอบรมครบทุกหลักสูตรแล้ว พวกเขาจะสามารถนำหลักปฏิบัติเหล่านั้นไปต่อยอดกับวิถีชีวิตของตัวเองในรูปแบบใดบ้าง

เครือข่ายวัฒนธรรมฯ บูรณาการวิถีชุมชนอาข่ากับความรู้สากล เพื่อติดเครื่องมืออาชีพพัฒนาคุณภาพชีวิตชาว ‘อาข่า’

โครงการพัฒนาอาชีพจากภูมิปัญญาวิถีชีวิตชนเผ่าอาข่า คือโครงการที่จัดขึ้นโดยเครือข่ายวัฒนธรรมมหาวิทยาลัยชนเผ่าอาข่า มีจุดประสงค์เพื่อพัฒนาภูมิปัญญาของชาวเผ่าอาข่า และนำองค์ความรู้เหล่านั้นไปผลิตเป็นสินค้าที่สามารถใช้ได้ในชีวิตประจำวัน นอกจากนี้ยังมีเป้าหมายในการสร้างระบบจัดจำหน่ายที่ช่วยสร้างอาชีพและรายได้ให้แก่ผู้ด้อยโอกาสและขาดแคลนทุนทรัพย์ในชุมชน

กลุ่มชาติพันธุ์ชนเผ่าอาข่าเป็นกลุ่มประชากรที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ห่างไกลและเป็นภูเขา ส่งผลให้หน่วยงานจากภาครัฐไม่สามารถเข้าไปช่วยเหลือพัฒนาได้อย่างทั่วถึง คนในชุมชนส่วนใหญ่จึงขาดอาชีพและมีรายได้ที่ไม่มั่นคง โครงการพัฒนาอาชีพฯ จึงเข้ามามีบทบาทในการช่วยเหลือ โดยรับสมัครกลุ่มผู้ด้อยโอกาสและขาดแคลนทุนทรัพย์ในชุมชนเข้ามาเป็นสมาชิก

หลังจากที่รวบรวมสมาชิกได้ครบตามเป้า 115 คน เจ้าหน้าที่ในโครงการก็ได้ลงพื้นที่เพื่อวิเคราะห์ลักษณะของสมาชิกในโครงการ และพบว่ากลุ่มเป้าหมายส่วนใหญ่ทำอาชีพเกษตรกรและรับจ้างเสริมควบคู่ไปด้วย แต่หลายคนยังประสบปัญหาความไม่มั่นคงทางรายได้ โดยมีบางส่วนเป็นผู้สูงอายุที่เลยวัยแรงงาน ทำให้ไม่สามารถสร้างรายได้ให้กับตัวเอง และสมาชิกส่วนมากยังไม่ได้รับสัญชาติไทย

โครงการพัฒนาจึงได้วางแผนการพัฒนาทักษะหลายๆ ด้านให้กับกลุ่มสมาชิกกลุ่มนี้ เริ่มจากการให้ผู้เข้าร่วมสำรวจความถนัดในการสร้างอาชีพของตัวเอง สร้างความเข้าใจในวิถีและภูมิปัญญาของชุมชน จากนั้นโครงการก็ได้จัดทำสื่อส่งต่อความรู้ขึ้นมา 8 ชุด คือ
  1. คู่มือสมุนไพรและหมอพื้นบ้านอาข่า
  2. คู่มือการจักสานพื้นบ้านอาข่า
  3. คู่มือการตีมีดพื้นบ้านอาข่า
  4. การอาหารและการถนอมอาหารพื้นบ้านอาข่า
  5. ข้าวซ้อมมืออาข่า
  6. คู่มือเครื่องเล่นและบทเพลงพื้นบ้านอาข่า
  7. คู่มืองานผ้าอ่าข่า
  8. คู่มือการทำสบู่ น้ำยาล้างจาน และยาสระผม จากสมุนไพรพื้นบ้านอ่าข่า

นอกจากจัดทำเอกสารขึ้นมาเป็นแบบเรียนแล้ว โครงการยังจัดกิจกรรมพัฒนาทักษะที่ให้สมาชิกได้ลงมือฝึกฝนผ่านการปฏิบัติจริงด้วย เพื่อให้พวกเขาสามารถนำเอาความรู้ไปผลิตสินค้าได้ด้วยตนเองและเผยแพร่ให้กับคนอื่นต่อไป

หลังจากที่ฝึกฝนอบรมกลุ่มเป้าหมายมาได้ระยะหนึ่ง โครงการร่วมกับกลุ่มสมาชิกก็ได้มีผลงานการออกแบบสินค้าที่มาจากภูมิปัญญาของชาวอาข่าถึง 15 รายการ อาทิ ‘ค้าหล่อ’ หรือ ถ้วยไผ่ใส่อาหาร ‘ขะชี้’ หรือ กล่องใส่ดอกไม้แห้ง ‘ส่าผ้า’ หรือ ผ้าทอของชาวอาข่า เป็นต้น

ความก้าวหน้าของการเรียนรู้และจัดทำผลิตภัณฑ์รูปแบบใหม่ๆ ช่วยให้โครงการดำเนินเป้าหมายไปยังจุดประสงค์สุดท้ายได้คือการจัดทำตลาดเพื่อจำหน่ายสินค้า โดยมีการเตรียมพื้นขายเป็นสองส่วนคือตลาดชุมชนและตลาดกลางเมือง ซึ่งปัจจุบันโครงการมีความก้าวหน้าคือสามารถนำเอาสินค้าเข้าไปเปิดขายในพื้นที่ตลาดชุมชนได้ถึง 6 แห่ง

หนึ่งในสมาชิกโครงการได้เล่าให้ฟังถึงความคืบหน้าและความเปลี่ยนแปลงของตัวเอง ภายหลังจากที่เข้าร่วมโครงการว่า “โครงการได้สอนเราในหลายๆ ทักษะ แต่สิ่งที่ผมประทับใจมากที่สุดคือกิจกรรมการแปรรูปสินค้าจากธรรมชาติ เนื่องจากได้เห็นกระบวนการทำงานที่เป็นระบบและน่าสนใจ เพราะเป็นการนำทรัพยากรที่มีในชุมชนมาต่อยอดและสร้างรายได้”

ในมุมของผู้ดูแลโครงการก็ได้มองไปถึงอนาคตว่า ถ้าหากโครงการนี้สามารถสร้างรายได้ให้กับกลุ่มสมาชิกมากขึ้น ก็อาจจะมีการทำระบบ ‘ตลาดความรู้ชุมชน’ ขึ้นมา เพื่อให้ใครก็ตามที่สนใจสามารถเข้ามาร่วมเรียนรู้ในภูมิปัญญาของชาวอาข่าได้ นอกจากนี้ยังมองไปถึงการสร้างระบบบริหารแบบง่าย ที่สมาชิกสามารถมีส่วนร่วมในการบริหารองค์กรได้ด้วยตัวเอง เพื่อสร้างความยั่งยืนทางรายได้ให้เกิดขึ้นในกลุ่มชาติพันธุ์ต่อไป

ยกระดับทักษะเกษตรกรชาวลีซูเพื่อผลิตกาแฟ สเปเชียลตี้ ตอบโจทย์คนรักกาแฟที่ ‘รสชาติ’

ชุมชนบ้านเลาวูเป็นพื้นที่ที่มีชื่อเสียงด้านการปลูกและแปรรูปกาแฟแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่ โดยประชากรส่วนใหญ่ในชุมชนเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ลีซู ซึ่งมีประชากรรวมกันราวๆ 535 คน แต่จากคนจำนวนนี้ มีไม่มากนักที่สำเร็จการศึกษาระดับสูง เนื่องจากประชากรยังขาดโอกาสและทุนทรัพย์ด้านการศึกษา โดยเฉพาะการไม่มีพื้นฐานภาษาไทย ทำให้ไม่สามารถสื่อสารกับคนภายนอกได้อย่างคล่องแคล่ว ความด้อยโอกาสทางการศึกษานับว่าเป็นปัญหาใหญ่ของชุมชน เพราะเป็นข้อจำกัดที่ทำให้ประชากรไม่สามารถออกไปทำงานในพื้นที่อื่นๆ ได้

ด้วยเหตุนี้วิสาหกิจชุมชนเกษตรกรรมธรรมชาติลีซูจึงได้มีแผนในการเข้าไปพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ภายในชุมชน เพื่อสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นให้กับชาวลีซู โดยเริ่มจากการเข้าไปสำรวจชุมชนและรับสมัครสมาชิกเข้าร่วมโครงการทั้งสิ้น 150 คน ซึ่งสมาชิกที่เข้ามาร่วมโครงการส่วนใหญ่เป็นแรงงานนอกระบบที่หาเลี้ยงชีพจากการทำเกษตรเชิงเดี่ยว รวมถึงมีผู้ที่ปลูกกาแฟขาย ทว่ายังขาดความรู้และทักษะในการก้าวสู่การเป็นผู้ประกอบการธุรกิจกาแฟแบบครอบวงจร โครงการพัฒนาและยกระดับคุณภาพชีวิตฯ จึงได้เกิดขึ้นเพื่อส่งเสริมทักษะด้านธุรกิจกาแฟอย่างครบวงจรให้กับกลุ่มสมาชิก

โครงการพัฒนาฯ พบว่าชุมชนบ้านเลาวูมีต้นทุนเดิมอย่างพื้นที่เกษตรกรรมและสวนกาแฟที่ชาวบ้านทำมาอยู่แล้ว หลักสูตรของโครงการจึงเป็นการฝึกฝนอบรมและต่อยอดทักษะด้านธุรกิจกาแฟ ตั้งแต่การปลูก การแปรรูปจนออกมาเป็นผลิตภัณฑ์รูปแบบต่างๆ ไปจนถึงการเตรียมกาแฟก่อนชง เช่น การคั่วในระดับต่างๆ การบรรจุลงในบรรจุภัณฑ์ การรักษาคุณภาพกาแฟ เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีการฝึกสอนเรื่องการใช้ประโยชน์จากผลพลอยได้ที่เกิดขึ้นระหว่างกระบวนผลิตกาแฟ เช่น การทำชาจากเปลือกเมล็ดกาแฟและยอดอ่อนใบกาแฟ ซึ่งนับว่าเป็นการใช้ทรัพยากรที่มีให้เกิดประโยชน์สูงสุด

หลังจากผ่านการอบรมมาระยะหนึ่งแล้ว โครงการก็ได้เห็นความก้าวหน้าของกลุ่มเป้าหมาย โดยพบว่ากลุ่มสมาชิกมีความรู้และทักษะเพิ่มขึ้นตามความคาดหวังของโครงการ มองเห็นโอกาสทางอาชีพที่หลากหลายมากขึ้นจากต้นทุนที่มีอยู่แล้วในชุมชน มีการเพิ่มฐานการตลาดของผลิตภัณฑ์กาแฟ มีแนวคิดใหม่ๆ ในการเพิ่มมูลค่าของสินค้า โดยทั้งหมดทั้งมวลนี้ นับว่าโครงการสามารถจุดประกายให้สมาชิกทั้ง 150 คน มีช่องทางในการสร้างรายได้ที่เพิ่มขึ้น และเป็นจุดตั้งต้นที่ดีสำหรับการต่อยอดไปสู่การสร้างสรรค์สินค้าหรือผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ โดยชุมชนบ้านเลาวูแห่งนี้

ความก้าวหน้าที่กล่าวมาทั้งหมดนับว่าเป็นทิศทางที่จะเกิดขึ้นไม่ได้เลยถ้าขาดภาคีเครือข่ายต่างๆ และทีมวิทยากรผู้เชี่ยวชาญ ไม่ว่าจะเป็นอาจารย์จากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ คณะทีมงาน CMYSF (Chiangmai Young smart farmer) ที่ร่วมกันออกแบบกิจกรรมในการพัฒนากลุ่มเป้าหมาย เพื่อพัฒนากลุ่มเป้าหมายสู่การเป็นธุรกิจกาแฟแบบครบวงจร

มทร.ศรีวิชัยยื่นเปิดวิชาเลี้ยงสาหร่ายพวงองุ่น การเพาะเลี้ยงหอยนางรม และการแปรรูปผลิตภัณฑ์ประมง เพื่อดึงเยาวชนในชุมชนชายฝั่งให้กลับมาเข้าระบบแรงงานอาชีพ

โครงการพัฒนาศักยภาพของเยาวชนชุมชนชายฝั่งฯ คือโครงการที่จัดขึ้นจากความตั้งใจของคณะวิทยาศาสตร์และเทคเทคโนโลยีการประมง มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย วิทยาเขตตรัง ที่อยากจะมีส่วนช่วยในการพัฒนาทักษะอาชีพให้กับกลุ่มวัยรุ่น ลูกหลานชาวประมง ให้มีทักษะความรู้และสามารถการยกระดับตัวเองขึ้นเป็นผู้ประกอบการรุ่นใหม่ของจังหวัดได้

โครงการได้ลงพื้นที่สำรวจความต้องการของกลุ่มเป้าหมายซึ่งเป็นเยาวชนแถบชายฝั่งที่มีอายุระหว่าง 15 ถึง 30 ปี
เป็นผู้ด้อยโอกาสทางการศึกษาและขาดแคลนทุนทรัพย์ โดยโครงการได้พบว่าเยาวชนกลุ่มนี้ต้องการที่จะมีอาชีพเสริมเพื่อหารายได้มาจุนเจือค่าใช้จ่ายในครอบครัว เพราะอาชีพหลักส่วนใหญ่ของประชากรในแถบนี้คือการทำประมง ซึ่งในแต่ละปีก็จะมีช่วงเวลาที่ไม่สามารถออกเรือไปทำงานได้ เช่น ในฤดูมรสุม ทำให้ครอบครัวต้องขาดรายได้เป็นเวลานาน

จากความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย ทำให้คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีการประมงได้ออกแบบหลักสูตรที่จะช่วยเสริมความรู้และสร้างทักษะให้กับเยาวชนกลุ่มนี้โดยมีผลลัพธ์ออกมาเป็น 5 หลักสูตรคือ 1.การเพาะเลี้ยงสาหร่ายพวงองุ่น 2.การเพาะเลี้ยงหอยนางรม 3.การแปรรูปผลิตภัณฑ์ประมง ซึ่งทั้ง 3 หลักสูตรนี้มีจุดร่วมเดียวกันคือเป็นทักษะอาชีพที่สามารถนำไปปฏิบัติและต่อยอดได้โดยไม่ต้องลงทุนสูง

นอกจากทักษะอาชีพทั้ง 3 ชนิดนี้แล้ว โครงการยังมีหลักสูตรที่สำคัญอีกสองส่วนคือ 4.จรรยาบรรณอาชีพทางการประมง/การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมชายฝั่งทะเล 5.การเตรียมความพร้อมสู่การเป็นผู้ประกอบการ

หลังจากที่รวบรวมสมาชิกได้ครบ 60 คนตามที่ได้ตั้งเป้าหมายไว้ โครงการก็เริ่มดำเนินงานตามแผนพัฒนา ซึ่งระหว่างทางก็ได้เกิดมีอุปสรรคบางประการที่ทำให้โครงการต้องหยุดชะงักชั่วคราว อย่างเช่นเรื่องของการแพร่ระบาดเชื้อไวรัส COVID-19 รวมถึงประเพณีถือศีลอดรอมฎอนในเดือนพฤษภาคม แต่ถึงแม้จะต้องมีการหยุดพักไปเป็นระยะเวลาหนึ่งโครงการพัฒนาศักยภาพฯ ก็ยังได้เห็นความก้าวหน้าของกลุ่มสมาชิกในหลายๆ ด้าน

อีกหนึ่งสมาชิกได้เล่าให้ฟังเพิ่มเติมว่า หลังจากที่เข้าร่วมโครงการเขาก็มองเห็นแนวทางอาชีพที่สามารถสร้างรายได้จากทรัพยากรที่มีในชุมชนของตัวเอง “อยากชวนคนอื่นๆ ในชุมชนให้เข้ามาอบบรมกับโครงการ เพราะโครงการนี้ช่วยสร้างอาชีพให้กับตัวเองและครอบครัวได้จริง ที่นี่ไม่ได้สอนแค่ด้านทฤษฎี แต่ให้เราได้ลงมือปฏิบัติไปพร้อมๆ กับวิทยากร ทำให้ความรู้ที่ได้รับมาเป็นความรู้ที่เราเข้าใจจริงๆ และสามารถนำไปสอนคนอื่นต่อได้อีกด้วย”

ในปัจจุบันการเพาะเลี้ยงสาหร่ายพวงองุ่นกำลังได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เนื่องจากเป็นพืชที่เลี้ยงง่าย โตเร็ว
ตลาดมีความต้องการต่อเนื่องและมีราคาสูง โดยมูลค่าการซื้อขาย ณ ปัจจุบันคืออยู่ที่กิโลกรัมละ 200-300 บาท
การที่โครงการเริ่มมีความสำริดผลด้านการผลิตแรงงานคุณภาพออกมา ทำให้เยาวชนกลุ่มนี้มีแนวทางการสร้างอาชีพที่มั่นคง และเกิดเป็นกลุ่มผู้ประกอบการที่มีทักษะหลากหลาย ซึ่งสามารถช่วยเหลือส่งเสริมกันต่อไปได้ในอนาคต

“โครงการนี้ช่วยสร้างอาชีพให้กับตัวเองและครอบครัวได้จริง เพราะที่นี่ไม่ได้สอนแค่ด้านทฤษฎี แต่ให้เราได้ลงมือทำจริงด้วย” หนึ่งในสมาชิกโครงการ

ศูนย์เรียนรู้โจ๊ะมาโลลือหล่าเปิดห้องเรียนการทำร้านค้าออนไลน์ เติมทักษะให้นักเรียนสามารถหารายได้เข้าสู่ชุมชน

โครงการสร้างและพัฒนาระบบบริหารจัดการร้านค้าออนไลน์ของศูนย์การเรียนชนเผ่า ของศูนย์การเรียนโจ๊ะมาโลลือหล่า คือโครงการพัฒนาที่ช่วยฝึกฝนกลุ่มสมาชิกในโครงการให้มีองค์ความรู้ด้านการผลิตและจัดจำหน่ายสินค้าของชุมชนผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ ที่ตัวผมเองได้เข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มสมาชิกมาเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้ว และได้พบว่าช่วงเวลาแรกเริ่มที่โครงการค่อยๆ ก่อร่างสร้างตัวขึ้นมา มีรายละเอียดมากมายที่น่าสนใจ ทั้งเรื่องของความก้าวหน้าที่เกิดขึ้นในกลุ่มสมาชิก ปัญหาและอุปสรรคที่ได้ฝ่าฟัน จึงน่าจะเป็นประโยชน์หากได้บันทึกข้อมูลเหล่านั้นเอาไว้พอสังเขป

เพื่อนๆ และพี่ๆ ที่เป็นสมาชิกโครงการประกอบไปด้วยผู้คนจาก 3 ชุมชนในพื้นที่ใกล้เคียงคือ 1.ศูนย์การเรียนโจ๊ะมาโลลือหล่า 2.ศูนย์การเรียนมอวาคี และ 3.ศูนย์การเรียนม่อนแสงดาว ซึ่งแต่ละคนล้วนอยู่ในเกณฑ์ของผู้ด้อยโอกาสด้วยกันทั้งสิ้น เพราะสมาชิกโครงการนี้ประกอบไปด้วยผู้ว่างงาน39 คน ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 6 คน และนักเรียนของศูนย์การเรียนโจ๊ะมาโลลือหล่า 15 คน

ถึงแม้ชื่อโครงการจะเป็นเรื่องการพัฒนาการตลาดออนไลน์ของศูนย์การเรียนชนเผ่า แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าต้องบังคับให้ทุกคนมาเรียนทำเว็บไซต์ ถ่ายรูป หรือสร้างคอนเทนต์ เพราะทุกคนมีความถนัดและความชอบไม่เหมือนกัน เมื่อเราทั้ง 60 คน ได้เข้ามาอยู่ในโครงการแล้ว ทางโครงการจะเข้ามาช่วยวิเคราะห์และแบ่งกลุ่มตามความสนใจและความถนัดของแต่ละคนเป็น 4 กลุ่มคือ 1.กลุ่มผู้ผลิต ซึ่งสนใจงานทอผ้า งานเกษตร และงานช่าง มีจำนวน 23 คน 2.กลุ่มออกแบบ ซึ่งสนใจงานพัฒนาผลิตภัณฑ์ชุมชน มีจำนวน 4 คน 3.กลุ่มบริหารจัดการ ซึ่งสนใจการค้าขายและต้องการมีธุรกิจส่วนตัว มีจำนวน 27 คน 4.กลุ่มสื่อสารถ่ายทอด ซึ่งสนใจการถ่ายทอดความรู้ภูมิปัญญา และการเป็นไกด์ หรือผู้ผลิตสื่อ จำนวน 6 คน

ตัวผมเองนั้นได้รับการจัดกลุ่มอยู่ในหมวดของการสื่อสารถ่ายทอด เพราะเป้าหมายผมคือการทำตลาดออนไลน์ ผมจึงได้เรียนรู้เกี่ยวกับการสร้างคอนเทนต์ และการทำเว็บไซต์ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อน จะเขียนเรื่องอย่างไร จะใช้ภาพแบบไหน ใช้โทนสีหรือกราฟิกแบบไหนคนถึงจะสนใจ เป็นความรู้ใหม่ของผมว่าสิ่งเหล่านี้มีพลังมากในการสื่อสารและดึงดูดให้คนสนใจสินค้า โดยเฉพาะการสร้างคอนเทนต์ที่ดีช่วยเพิ่มมูลค่าให้สินค้าชุมชนได้ดีทีเดียว

เมื่อโครงการได้รับทราบถึงความต้องการของกลุ่มเป้าหมายแต่ละคนแล้ว ทำให้โครงการสามารถออกแบบการเรียนรู้ตามความสนใจของผู้เรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งผลลัพธ์ก็ได้สะท้อนออกมาในความก้าวหน้าของโครงการในด้านต่างๆ ซึ่งผมขอสรุปออกมาคร่าวๆ เป็น 7 ข้อต่อไปนี้
  1. เกิดฐานข้อมูลที่ใช้สำหรับการพัฒนาการประกอบการของศูนย์การเรียนชุมชน เช่น ข้อมูลภูมิปัญญาการย้อมผ้าสีธรรมชาติ ผลิตภัณฑ์ผ้าทอมือ การทำไร่หมุนเวียน และชุดความรู้เรื่องระบบนิเวศป่าต้นน้ำ
  2. เกิดรูปแบบแนวทางการสร้างระบบบริหารจัดการร้านค้าออนไลน์ และมีการพัฒนาแอปพลิเคชันร้านค้าออนไลน์ที่เหมาะสมกับบริบทของศูนย์การเรียนคือ แอปฯ JOAIDEE และเฟซบุ๊กเพจ JOAIDEE
  3. มีการสร้างแบรนด์โลโก้ของกลุ่มโดยเยาวชนในโครงการได้มีโอกาสในการออกแบบร่วมกัน
  4. เริ่มทดสอบการใช้งานร้านค้าออนไลน์ของศูนย์ผ่านแอปฯ และเพจ JOAIDEE โดยมีการเก็บบันทึกผลลัพธ์เพื่อการใช้ในครั้งต่อๆ ไป
  5. มีการจัดทำฐานข้อมูลของศูนย์การเรียนและฐานข้อมูลสมาชิกในกลุ่มทั้งหมด
  6. สมาชิกในกลุ่มได้เรียนรู้และฝึกทักษะการใช้งานเครื่องมือออนไลน์ เพื่อส่งเสริมการทำงานผ่านระบบร้านค้าที่สร้างขึ้น เช่นการใช้งาน Email, Facebook group, Google drive และ Zoom meeting รวมถึงมีการจัดการร้านค้าแบบออฟไลน์เพื่อจัดเก็บสต็อกสินค้า
  7. เกิดเครือข่ายร้านค้าออนไลน์ของศูนย์ฯ ที่มีแกนนำของทั้ง 3 พื้นที่เข้าร่วมการใช้งานภายใต้แบรนด์ JOAIDEE เป็นครั้งแรก

ทั้งนี้แม้จะมีด้านการพัฒนาที่น่าพึงพอใจ แต่ระหว่างการดำเนินโครงการ ผมก็ได้เห็นปัญหาที่เกิดขึ้นอยู่ตลอด ไม่ว่าจะเป็นปัญหาด้านระยะทางที่พี่ๆ และเพื่อนๆ บางคนอยู่ห่างไกลจากศูนย์พอสมควร ทางโครงการจึงต้องจัดหางบมาช่วยเหลือด้านการเดินทางให้กับสมาชิกส่วนนี้ นอกจากนี้สมาชิกโครงการทั้ง 60 คน มีความหลากหลายด้านภาษาเป็นอย่างมาก และส่วนใหญ่แต่ละคนก็มักจะใช้ภาษาในท้องถิ่นของตัวเองทำให้บางครั้งอาจจะสื่อสารกันไม่เข้าใจได้ ทางโครงการเลยต้องแก้ปัญหาโดยการจัดกิจกรรมที่มีความยืนหยุ่นสูง เพื่อให้มีพื้นที่สำหรับการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า

แน่นอนว่าการจะปลุกปั้นอะไรขึ้นมาสักอย่าง ย่อมต้องมีปัญหาและอุปสรรคเกิดขึ้นเสมอ แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้พวกเราสมาชิกทั้ง 60 คนมีความเชื่อมั่นในศูนย์ฯ โจ๊ะมาโลลือหล่าก็คือ ความเอาจริงเอาจังและความต้องการที่จะช่วยกันพัฒนาชุมชนอย่างแท้จริง ทำให้ผมและเพื่อนพี่น้องพร้อมใจกันมุ่งมั่นพัฒนาทักษะตัวเอง เพื่อที่วันหนึ่งจะสามารถสร้างประโยชน์ให้กับชุมชนได้มากขึ้น รวมถึงสามารถส่งต่อความรู้นี้ให้กับสมาชิกรุ่นต่อๆ ไปด้วย

ชุมชนหนองสนิทแก้ปัญหานักเรียนและประชาชนขาดผักคุณภาพกิน ด้วยการตั้งกลุ่มเกษตรอินทรีย์เพื่อปลูกผักส่งเข้าโรงเรียนและจำหน่ายในตำบล

โครงการพัฒนาศักยภาพเกษตรกรในการเพิ่มคุณภาพผลผลิตทางการเกษตร โดยอบต. หนองสนิท จังหวัดสุรินทร์ เป็นโครงการที่จัดตั้งขึ้นมาเพื่อฝึกฝนทักษะและแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ด้านการทำเกษตรอินทรีย์ให้กับสมาชิกโครงการ ซึ่งสามารถก่อให้เกิดประโยชน์ให้กับชุมชนในหลายด้าน โดยทันที่ที่โครงการได้เริ่มต้นขึ้น ก็มีการบันทึกข้อมูลความก้าวหน้าในแต่ละประเด็นอย่างต่อเนื่อง

สมาชิกที่เข้าร่วมโครงการพัฒนาศักยภาพฯ นี้ประกอบไปด้วยกลุ่มคนด้อยโอกาสทั้งสิ้น 80 คน คือ แรงงานนอกระบบ 36 คน ผู้ว่างงาน 25 คน ผู้สูงอายุ 5 คน ผู้พิการ 2 คนผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 2 คน และเยาวชนนอกระบบ10 คน ซึ่งคนกลุ่มนี้ได้รับการคัดเลือกและวิเคราะห์มาแล้วถึงความต้องการเป็นอย่างดี ทำให้โครงการสามารถจัดการเรียนรู้และส่งเสริมความต้องการที่พวกเขาขาดได้อย่างตรงจุด

ในช่วงแรกที่โครงการได้ดำเนินงาน ได้มีการจัดกิจกรรมส่งเสริมความรู้และทักษะหลากหลายรูปแบบ เช่น การอบรมกลุ่มเป้าหมายเพื่อการวิเคราะห์ตนเอง การสร้างแรงบันดาลใจร่วมกันในการสร้างอาชีพ การอบรมเชิงปฏิบัติการ และการศึกษาดูงานในกลุ่มเกษตรกรที่ประสบความสำเร็จแล้ว โดยหลังจากที่สมาชิกได้เข้าร่วมครบทุกกระบวนการแล้ว ทางโครงการพบว่าการดำเนินงานครั้งนี้ สามารถสร้างความก้าวหน้าให้กับกลุ่มเป้าหมายได้ตรงกับเป้าประสงค์ที่ได้วางไว้ในหลายประเด็นดังนี้

  1. เกิดคณะทำงานที่ช่วยขับเคลื่อนโครงการเป็นสมาชิกหลัก 16 คน และมีภาคีเครือข่ายเข้าร่วมสนับสนุนโครงการถึง 11 ภาคี นอกจากนี้โครงการได้จัดทำแผนปฏิบัติการที่ชัดเจนขึ้นได้สำเร็จด้วย
  2. สมาชิกจำนวน 32 ราย เกิดความรู้และความตระหนักในการผลิตอาหารปลอดภัยมากขึ้น
  3. เกิดแนวทางการรวมกลุ่มวิสาหกิจชุมชนพืชผักอินทรีย์ตำบลหนองสนิท
  4. เกิดเกณฑ์ในการสร้างเกษตรกรต้นแบบและเกิดแผนพัฒนาอาชีพเพื่อเพิ่มรายได้

ระหว่างกระบวนการทำงานโครงการก็ได้พบปัญหาที่เกิดขึ้นในเรื่องการตลาด แต่ก็ได้มีการวางแนวทางแก้ไขอย่างรวดเร็ว โดยให้เกษตรกรเปิดหน้าร้านจำหน่ายที่บริเวณหน้าสวน เพื่อให้เข้าถึงคนที่ผ่านไปมาได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ยังมีการเชื่อมโยงกับสำนักงานพาณิชย์จังหวัดเพื่อให้หน่วยงานช่วยประสานกับห้างสรรพสินค้าในการรับซื้อสินค้าเกษตรเข้าไปจัดจำหน่าย

ในปัจจุบันด้วยความเข้มแข็งของชุมชนและความมานะของกลุ่ม ทำให้โครงการนี้สามารถต่อยอดความตั้งใจจนเกิดเป็น ‘สหกรณ์การเกษตรพืชผักอินทรีย์หนองสนิท จำกัด’ ขึ้นมาได้ในที่สุด ซึ่งนับว่าเป็นการเติบโตอย่างรวดเร็วที่น่าพึงพอใจสำหรับกลุ่ม โดยเป้าหมายต่อไปของโครงการคือการขอมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ต่างๆ เพื่อขยายผลด้านการตลาดเพื่อการจัดจำหน่ายสินค้ารายใหญ่ต่อไป

“สมาชิกสหกรณ์ฯ ก้าวสู่การทำเกษตรอินทรีย์อย่างเต็มตัว จากที่เคยใช้สารเคมีในการปลูกพืชผักก็หันกลับมาทำแบบอินทรีย์ ผู้ว่างงานบางคนไม่เคยปลูกผักเลยด้วยซ้ำ แต่ก็พยายามฝึกฝนจนสามารถทำได้” หนึ่งในสมาชิก โครงการพัฒนาศักยภาพเกษตรกรในการเพิ่มคุณภาพผลผลิตทางการเกษตร

 

ชุมชนบ้านช่างแปลง 8 ฟื้นเทคนิค ‘ผ้าทอจก’ ที่ทั้งช่วยสืบทอดวัฒนธรรมและยังหารายได้เข้าชุมชนได้ด้วย

เมื่อคนในชุมชนอำเภอดอยเต่า จังหวัดเชียงใหม่ ต้องพบเจอกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่ถดถอยลง ทำให้กลุ่มทอผ้าบ้านชั่งแปลง 8 ได้จัดทำโครงการพัฒนาทักษะการทอผ้าจกเพื่อสร้างอาชีพสำหรับกลุ่มสตรีแม่บ้านที่มีพื้นฐานการทอผ้า ในอำเภอดอยเต่า จังหวัดเชียงใหม่ ขึ้นเพื่อแบ่งปันองค์ความรู้ด้านการทอผ้าจกให้กับชาวบ้านในชุมชน โดยเฉพาะกลุ่มแม่บ้านเกษตกร เพื่อเป็นอีกหนึ่งช่องทางในการหารายได้เสริม และช่วยสืบสานวัฒนธรรมท้องถิ่น

โดยหลังจากที่โครงการได้ดำเนินโครงการมาในระยะเวลาหนึ่ง ทางกลุ่มก็ได้ทำการจดบันทึกความก้าวหน้าของโครงการมาโดยตลอด ทำให้ได้เห็นความกระบวนการและความเปลี่ยนแปลงของกลุ่มในช่วงตั้งต้นของโครงการ

ในด้านขอกลุ่มเป้าหมาย สมาชิกโครงการส่วนใหญ่เป็นกลุ่มสตรีแม่บ้านในอำเภอดอยเต่า ซึ่งประกอบไปด้วยคนด้อยโอกาส เช่น ผู้ว่างงาน 31 คน ผู้สูงอายุ 13 คน ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 5 คน และลูกจ้างชั่วคราว 1 คน รวมทั้งสิ้น 50 คน ยังมีปริมาณตามความตั้งใจของโครงการเช่นเดิม ทว่ามีการเปลี่ยนแปลงด้านรายชื่อ 5 คน เนื่องจากปัญหาสุขภาพ และความต้องการส่วนตัว

ในส่วนของกิจกรรมเพื่อส่งเสริมทักษะอาชีพนั้น ตลอดเวลาหนึ่งเดือน โครงการได้จัดกิจกรรมมากมายเพื่อการพัฒนาอาชีพให้กับสมาชิก ไม่ว่าจะเป็นการปฐมนิเทศเพื่อเตรียมตัวผู้เข้าเรียน การเรียนรู้เกี่ยวกับวัสดุอุปกรณ์ และการเรียนรู้เกี่ยวกับการขึ้นเครื่องทอผ้า โดยในช่วงเวลาที่ผ่านมากลุ่มสมาชิกก็ได้มีการพัฒนาในทางที่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยมีข้อบ่งชี้ดังนี้

  1. กลุ่มสตรีฯ มีทักษะทอผ้าจกมากขึ้น สามารถใช้อุปกรณ์และเตรียมขึ้นทอได้แล้ว รวมถึงมีทักษะการทอผ้าจกแบบพื้นฐาน
  2. กลุ่มสตรีฯ มีทัศนคติต่อการทอผ้าจกที่ดีขึ้นและตระหนักถึงความสำคัญด้านการอนุรักษ์ และสืบสานภูมิปัญญาท้องถิ่นชนิดนี้ เห็นได้จากความต้องการในการเข้าร่วมกิจกรรมที่เป็นไปตามจำนวนที่ตั้งไว้คือ 50 คน

นอกจากผลตอบรับที่เกิดขึ้นกับสมาชิกในโครงการแล้ว ตัวหน่วยพัฒนาอาชีพศูนย์การเรียนรู้การทอผ้าจกบ้านชั่งแปลง 8 ก็ได้กลายมาเป็นที่รู้จักของชุมชนมากขึ้น มีสมาชิกเข้ามาสมัครกับศูนย์มากขึ้น รวมถึงได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานอื่นๆ ในการทำงานของโครงการมากกว่าเดิม

ขณะเดียวกับที่ได้เห็นการพัฒนาของกลุ่มสตรีฯ โครงการก็ได้พบทั้งปัญหาและอุปสรรคด้วย ไม่ว่าจะเป็น การมาเรียนไม่พร้อมเพรียงกันเนื่องจากแม่บ้านแต่ละคนมีภาระที่แตกต่างกัน จำนวนกี่ทอผ้าไม่เพียงพอสำหรับสมาชิก จำนวนผู้อบรมมีมากจนทำให้สมาชิกบางคนขาดสมาธิในการฝึกฝน แต่ทางโครงการก็ได้ดำเนินแนวทางการแก้ไขเพื่อบรรเทาปัญหาลงได้เป็นอย่างดี เช่น การกำหนดวันเรียนทดแทน การผันแรงงานไปฝึกฝนกระบวนการอื่นของการทอที่ไม่ต้องใช้กี่ทอผ้า และส่งเสริมให้เกิดการช่วยเหลือกันเองในกลุ่ม

ทั้งความก้าวหน้าและอุปสรรคที่ต้องแก้ไขนั้น ล้วนแต่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างทางของการพัฒนา ซึ่งท้ายที่สุดแล้วโครงการนี้ยังต้องดำเนินงานไปจนสามารถบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ นั่นคือการผลิตแรงงานฝีมือออกมาจนทำให้ภูมิปัญญาทอผ้าจกนี้สามารถสร้างประโยชน์ต่อชุมชนทั้งด้านรายได้ และการสืบสานอนุรักษ์ วิถีนี้ต่อไป