โครงการสร้างและพัฒนาระบบบริหารจัดการร้านค้าออนไลน์ของศูนย์การเรียนชนเผ่า ของศูนย์การเรียนโจ๊ะมาโลลือหล่า คือโครงการพัฒนาที่ช่วยฝึกฝนกลุ่มสมาชิกในโครงการให้มีองค์ความรู้ด้านการผลิตและจัดจำหน่ายสินค้าของชุมชนผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ ที่ตัวผมเองได้เข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มสมาชิกมาเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้ว และได้พบว่าช่วงเวลาแรกเริ่มที่โครงการค่อยๆ ก่อร่างสร้างตัวขึ้นมา มีรายละเอียดมากมายที่น่าสนใจ ทั้งเรื่องของความก้าวหน้าที่เกิดขึ้นในกลุ่มสมาชิก ปัญหาและอุปสรรคที่ได้ฝ่าฟัน จึงน่าจะเป็นประโยชน์หากได้บันทึกข้อมูลเหล่านั้นเอาไว้พอสังเขป
เพื่อนๆ และพี่ๆ ที่เป็นสมาชิกโครงการประกอบไปด้วยผู้คนจาก 3 ชุมชนในพื้นที่ใกล้เคียงคือ 1.ศูนย์การเรียนโจ๊ะมาโลลือหล่า 2.ศูนย์การเรียนมอวาคี และ 3.ศูนย์การเรียนม่อนแสงดาว ซึ่งแต่ละคนล้วนอยู่ในเกณฑ์ของผู้ด้อยโอกาสด้วยกันทั้งสิ้น เพราะสมาชิกโครงการนี้ประกอบไปด้วยผู้ว่างงาน39 คน ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 6 คน และนักเรียนของศูนย์การเรียนโจ๊ะมาโลลือหล่า 15 คน
ถึงแม้ชื่อโครงการจะเป็นเรื่องการพัฒนาการตลาดออนไลน์ของศูนย์การเรียนชนเผ่า แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าต้องบังคับให้ทุกคนมาเรียนทำเว็บไซต์ ถ่ายรูป หรือสร้างคอนเทนต์ เพราะทุกคนมีความถนัดและความชอบไม่เหมือนกัน เมื่อเราทั้ง 60 คน ได้เข้ามาอยู่ในโครงการแล้ว ทางโครงการจะเข้ามาช่วยวิเคราะห์และแบ่งกลุ่มตามความสนใจและความถนัดของแต่ละคนเป็น 4 กลุ่มคือ 1.กลุ่มผู้ผลิต ซึ่งสนใจงานทอผ้า งานเกษตร และงานช่าง มีจำนวน 23 คน 2.กลุ่มออกแบบ ซึ่งสนใจงานพัฒนาผลิตภัณฑ์ชุมชน มีจำนวน 4 คน 3.กลุ่มบริหารจัดการ ซึ่งสนใจการค้าขายและต้องการมีธุรกิจส่วนตัว มีจำนวน 27 คน 4.กลุ่มสื่อสารถ่ายทอด ซึ่งสนใจการถ่ายทอดความรู้ภูมิปัญญา และการเป็นไกด์ หรือผู้ผลิตสื่อ จำนวน 6 คน
ตัวผมเองนั้นได้รับการจัดกลุ่มอยู่ในหมวดของการสื่อสารถ่ายทอด เพราะเป้าหมายผมคือการทำตลาดออนไลน์ ผมจึงได้เรียนรู้เกี่ยวกับการสร้างคอนเทนต์ และการทำเว็บไซต์ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อน จะเขียนเรื่องอย่างไร จะใช้ภาพแบบไหน ใช้โทนสีหรือกราฟิกแบบไหนคนถึงจะสนใจ เป็นความรู้ใหม่ของผมว่าสิ่งเหล่านี้มีพลังมากในการสื่อสารและดึงดูดให้คนสนใจสินค้า โดยเฉพาะการสร้างคอนเทนต์ที่ดีช่วยเพิ่มมูลค่าให้สินค้าชุมชนได้ดีทีเดียว
เมื่อโครงการได้รับทราบถึงความต้องการของกลุ่มเป้าหมายแต่ละคนแล้ว ทำให้โครงการสามารถออกแบบการเรียนรู้ตามความสนใจของผู้เรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งผลลัพธ์ก็ได้สะท้อนออกมาในความก้าวหน้าของโครงการในด้านต่างๆ ซึ่งผมขอสรุปออกมาคร่าวๆ เป็น 7 ข้อต่อไปนี้
- เกิดฐานข้อมูลที่ใช้สำหรับการพัฒนาการประกอบการของศูนย์การเรียนชุมชน เช่น ข้อมูลภูมิปัญญาการย้อมผ้าสีธรรมชาติ ผลิตภัณฑ์ผ้าทอมือ การทำไร่หมุนเวียน และชุดความรู้เรื่องระบบนิเวศป่าต้นน้ำ
- เกิดรูปแบบแนวทางการสร้างระบบบริหารจัดการร้านค้าออนไลน์ และมีการพัฒนาแอปพลิเคชันร้านค้าออนไลน์ที่เหมาะสมกับบริบทของศูนย์การเรียนคือ แอปฯ JOAIDEE และเฟซบุ๊กเพจ JOAIDEE
- มีการสร้างแบรนด์โลโก้ของกลุ่มโดยเยาวชนในโครงการได้มีโอกาสในการออกแบบร่วมกัน
- เริ่มทดสอบการใช้งานร้านค้าออนไลน์ของศูนย์ผ่านแอปฯ และเพจ JOAIDEE โดยมีการเก็บบันทึกผลลัพธ์เพื่อการใช้ในครั้งต่อๆ ไป
- มีการจัดทำฐานข้อมูลของศูนย์การเรียนและฐานข้อมูลสมาชิกในกลุ่มทั้งหมด
- สมาชิกในกลุ่มได้เรียนรู้และฝึกทักษะการใช้งานเครื่องมือออนไลน์ เพื่อส่งเสริมการทำงานผ่านระบบร้านค้าที่สร้างขึ้น เช่นการใช้งาน Email, Facebook group, Google drive และ Zoom meeting รวมถึงมีการจัดการร้านค้าแบบออฟไลน์เพื่อจัดเก็บสต็อกสินค้า
- เกิดเครือข่ายร้านค้าออนไลน์ของศูนย์ฯ ที่มีแกนนำของทั้ง 3 พื้นที่เข้าร่วมการใช้งานภายใต้แบรนด์ JOAIDEE เป็นครั้งแรก
ทั้งนี้แม้จะมีด้านการพัฒนาที่น่าพึงพอใจ แต่ระหว่างการดำเนินโครงการ ผมก็ได้เห็นปัญหาที่เกิดขึ้นอยู่ตลอด ไม่ว่าจะเป็นปัญหาด้านระยะทางที่พี่ๆ และเพื่อนๆ บางคนอยู่ห่างไกลจากศูนย์พอสมควร ทางโครงการจึงต้องจัดหางบมาช่วยเหลือด้านการเดินทางให้กับสมาชิกส่วนนี้ นอกจากนี้สมาชิกโครงการทั้ง 60 คน มีความหลากหลายด้านภาษาเป็นอย่างมาก และส่วนใหญ่แต่ละคนก็มักจะใช้ภาษาในท้องถิ่นของตัวเองทำให้บางครั้งอาจจะสื่อสารกันไม่เข้าใจได้ ทางโครงการเลยต้องแก้ปัญหาโดยการจัดกิจกรรมที่มีความยืนหยุ่นสูง เพื่อให้มีพื้นที่สำหรับการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า
แน่นอนว่าการจะปลุกปั้นอะไรขึ้นมาสักอย่าง ย่อมต้องมีปัญหาและอุปสรรคเกิดขึ้นเสมอ แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้พวกเราสมาชิกทั้ง 60 คนมีความเชื่อมั่นในศูนย์ฯ โจ๊ะมาโลลือหล่าก็คือ ความเอาจริงเอาจังและความต้องการที่จะช่วยกันพัฒนาชุมชนอย่างแท้จริง ทำให้ผมและเพื่อนพี่น้องพร้อมใจกันมุ่งมั่นพัฒนาทักษะตัวเอง เพื่อที่วันหนึ่งจะสามารถสร้างประโยชน์ให้กับชุมชนได้มากขึ้น รวมถึงสามารถส่งต่อความรู้นี้ให้กับสมาชิกรุ่นต่อๆ ไปด้วย

เมื่อคนในชุมชนอำเภอดอยเต่า จังหวัดเชียงใหม่ ต้องพบเจอกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่ถดถอยลง ทำให้กลุ่มทอผ้าบ้านชั่งแปลง 8 ได้จัดทำโครงการพัฒนาทักษะการทอผ้าจกเพื่อสร้างอาชีพสำหรับกลุ่มสตรีแม่บ้านที่มีพื้นฐานการทอผ้า ในอำเภอดอยเต่า จังหวัดเชียงใหม่ ขึ้นเพื่อแบ่งปันองค์ความรู้ด้านการทอผ้าจกให้กับชาวบ้านในชุมชน โดยเฉพาะกลุ่มแม่บ้านเกษตกร เพื่อเป็นอีกหนึ่งช่องทางในการหารายได้เสริม และช่วยสืบสานวัฒนธรรมท้องถิ่น
โดยหลังจากที่โครงการได้ดำเนินโครงการมาในระยะเวลาหนึ่ง ทางกลุ่มก็ได้ทำการจดบันทึกความก้าวหน้าของโครงการมาโดยตลอด ทำให้ได้เห็นความกระบวนการและความเปลี่ยนแปลงของกลุ่มในช่วงตั้งต้นของโครงการ
ในด้านขอกลุ่มเป้าหมาย สมาชิกโครงการส่วนใหญ่เป็นกลุ่มสตรีแม่บ้านในอำเภอดอยเต่า ซึ่งประกอบไปด้วยคนด้อยโอกาส เช่น ผู้ว่างงาน 31 คน ผู้สูงอายุ 13 คน ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 5 คน และลูกจ้างชั่วคราว 1 คน รวมทั้งสิ้น 50 คน ยังมีปริมาณตามความตั้งใจของโครงการเช่นเดิม ทว่ามีการเปลี่ยนแปลงด้านรายชื่อ 5 คน เนื่องจากปัญหาสุขภาพ และความต้องการส่วนตัว
ในส่วนของกิจกรรมเพื่อส่งเสริมทักษะอาชีพนั้น ตลอดเวลาหนึ่งเดือน โครงการได้จัดกิจกรรมมากมายเพื่อการพัฒนาอาชีพให้กับสมาชิก ไม่ว่าจะเป็นการปฐมนิเทศเพื่อเตรียมตัวผู้เข้าเรียน การเรียนรู้เกี่ยวกับวัสดุอุปกรณ์ และการเรียนรู้เกี่ยวกับการขึ้นเครื่องทอผ้า โดยในช่วงเวลาที่ผ่านมากลุ่มสมาชิกก็ได้มีการพัฒนาในทางที่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยมีข้อบ่งชี้ดังนี้
- กลุ่มสตรีฯ มีทักษะทอผ้าจกมากขึ้น สามารถใช้อุปกรณ์และเตรียมขึ้นทอได้แล้ว รวมถึงมีทักษะการทอผ้าจกแบบพื้นฐาน
- กลุ่มสตรีฯ มีทัศนคติต่อการทอผ้าจกที่ดีขึ้นและตระหนักถึงความสำคัญด้านการอนุรักษ์ และสืบสานภูมิปัญญาท้องถิ่นชนิดนี้ เห็นได้จากความต้องการในการเข้าร่วมกิจกรรมที่เป็นไปตามจำนวนที่ตั้งไว้คือ 50 คน
นอกจากผลตอบรับที่เกิดขึ้นกับสมาชิกในโครงการแล้ว ตัวหน่วยพัฒนาอาชีพศูนย์การเรียนรู้การทอผ้าจกบ้านชั่งแปลง 8 ก็ได้กลายมาเป็นที่รู้จักของชุมชนมากขึ้น มีสมาชิกเข้ามาสมัครกับศูนย์มากขึ้น รวมถึงได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานอื่นๆ ในการทำงานของโครงการมากกว่าเดิม
ขณะเดียวกับที่ได้เห็นการพัฒนาของกลุ่มสตรีฯ โครงการก็ได้พบทั้งปัญหาและอุปสรรคด้วย ไม่ว่าจะเป็น การมาเรียนไม่พร้อมเพรียงกันเนื่องจากแม่บ้านแต่ละคนมีภาระที่แตกต่างกัน จำนวนกี่ทอผ้าไม่เพียงพอสำหรับสมาชิก จำนวนผู้อบรมมีมากจนทำให้สมาชิกบางคนขาดสมาธิในการฝึกฝน แต่ทางโครงการก็ได้ดำเนินแนวทางการแก้ไขเพื่อบรรเทาปัญหาลงได้เป็นอย่างดี เช่น การกำหนดวันเรียนทดแทน การผันแรงงานไปฝึกฝนกระบวนการอื่นของการทอที่ไม่ต้องใช้กี่ทอผ้า และส่งเสริมให้เกิดการช่วยเหลือกันเองในกลุ่ม
ทั้งความก้าวหน้าและอุปสรรคที่ต้องแก้ไขนั้น ล้วนแต่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างทางของการพัฒนา ซึ่งท้ายที่สุดแล้วโครงการนี้ยังต้องดำเนินงานไปจนสามารถบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ นั่นคือการผลิตแรงงานฝีมือออกมาจนทำให้ภูมิปัญญาทอผ้าจกนี้สามารถสร้างประโยชน์ต่อชุมชนทั้งด้านรายได้ และการสืบสานอนุรักษ์ วิถีนี้ต่อไป
