บทที่ 2 ระหว่างทาง

อบต.มะเกลือใหม่จัดโครงการสอนทำน้ำยาเอนกประสงค์และยาหม่องจากสมุนไพรอินทรีย์ กู้วิกฤติสังคมผู้สูงอายุในชุมชน

ความแข็งแรงขององค์กรท้องถิ่นอย่างอบต. นับว่าเป็นส่วนสำคัญในการแก้ปัญหาและส่งเสริมพัฒนาคนในชุมชนอย่างมาก โดยมีตัวอย่างให้เห็นได้มากมาย เช่น องค์การบริหารส่วนตำบลมะเกลือใหม่ อำเภอสูงเนิน จังหวัดนครราชสีมา ที่ได้มีการจัดทำโครงการพัฒนาคนในชุมชนทั้ง 12 หมู่บ้านที่อยู่ภายใต้การดูแลของหน่วยงาน

ชุมชนมะเกลือใหม่เป็นพื้นที่ที่มีปริมาณคนว่างงานสูงถึงร้อยละ 30 ของประชากร เนื่องจากคนในชุมชนบางส่วนไม่มีพื้นที่ทำกินเป็นของตัวเอง ทำให้ประชากรกลุ่มนี้ประกอบอาชีพรับจ้างและทำให้มีรายได้ไม่แน่นอน ขาดความรู้เรื่องการต่อยอดและพัฒนาอาชีพ ซึ่งจากสถานการณ์นี้อบต.มะเกลือใหม่จึงพยายามหาทางที่จะแก้ปัญหาด้านรายได้ให้กับคนในพื้นที่ผ่าน ‘โครงการส่งเสริมอาชีพผลิตน้ำยาเอนกประสงค์ และยาหม่องในผู้สูงอายุ ผู้พิการและผู้ด้อยโอกาส ตำบลมะเกลือใหม่’ เพื่อส่งเสริมทักษะอาชีพใหม่ๆ ให้กับแรงงานในพื้นที่

กลุ่มเป้าหมายของโครงการมีความหลากหลายของกลุ่มคนด้อยโอกาส ไม่ว่าจะเป็นผู้สูงอายุ เยาวชน ผู้พิการ ผู้ว่างงาน และผู้ด้อยโอกาสจำนวนทั้งสิ้น 80 คน โดยหลักสูตรของโครงการแบ่งออกได้เป็น 3 ทักษะที่กลุ่มเป้าหมายสามารถเลือกฝึกฝนได้ตามความสนใจ คือ 1.การผลิตน้ำยาล้างจาน 2.การผลิตน้ำยาเอนกประสงค์ 3.การผลิตยาหม่อง โดยผลิตภัณฑ์ทั้งสามชนิดนี้ตั้งอยู่บนแนวคิดการใช้ชุมชนเป็นฐานเนื่องจากมีการใช้ทุนทางธรรมชาติอย่างพืชสมุนไพรมาเป็นวัตถุดิบหลักในการผลิต 

โครงการได้จัดหาผู้เชี่ยวชาญและวิทยากรมาช่วยฝึกฝนอบรมในแต่ละทักษะ และมีการลงมือทำงานจริงเพื่อให้ได้ผลผลิตออกมา นอกจากนี้โครงการยังได้พาสมาชิกไปศึกษาดูงานในพื้นที่อื่นๆ เช่น โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร เพื่อเรียนรู้การแปรรูปสมุนไพรออกมาเป็นผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย รวมถึงเสริมสร้างความมั่นใจในแนวทางอาชีพให้กับกลุ่มสมาชิก

หลังการดำเนินงานมาในระยะเวลาหนึ่ง โครงการผลิตชิ้นงานออกมาจัดจำหน่ายในตลาดได้สำเร็จ โดยหนึ่งในเจ้าหน้าที่โครงการเล่าให้ฟังว่า “จากที่เราได้อบรมกันมาจนจบโครงการ กลุ่มเป้าหมายของเราได้เรียนรู้การผลิตน้ำยาต่างๆ จนสามารถผลิตใช้ได้เองในครัวเรือนและผลิตแจกในชุมชนได้ด้วย นอกจากนี้ยังสามารถทำขึ้นเป็นผลิตภัณฑ์ของชุมชนเพื่อนำมาขายเป็นรายได้เสริมด้วย”

ความเข้มแข็งของหน่วยงานท้องถิ่นตำบลมะเกลือใหม่ ได้ช่วยสร้างอาชีพและรายได้เสริมให้กับคนในชุมชนได้อย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งนอกจากการที่คนในชุมชนจะสามารถนำเอาสินค้ามาขายแล้ว ยังมีการผลิตสินค้าเหล่านั้นเพื่อใช้ในชีวิตประจำวันของตัวเอง เป็นการลดรายจ่ายอีกทางหนึ่งด้วย โดยหลังจากนี้โครงการก็ได้มองไปถึงการขยายตลาดในวงกว้างมากขึ้น รวมถึงการสร้างแบรนด์ของชุมชนให้มีความแข็งแรงและสามารถไปแข่งขันกันในตลาดระดับภูมิภาคและประเทศได้

กลุ่มอีโต้น้อยผุดโครงการฝึกทักษะอาชีพและทัศคติที่ดีให้กับชาวบ้านโคกล่าม เพื่อฝ่าฟันภัยแล้งในชุมชนอย่างยั่งยืน

โครงการสร้างปัญญาฝึกทักษะเพื่อพัฒนาอาชีพผู้ด้อยโอกาส จัดทำขึ้นมาโดยศูนย์การเรียนรู้ชุมชนกลุ่มอีโต้น้อย เพื่อพัฒนาผู้ด้อยโอกาสในชุมชนโคกล่ามที่ประสบปัญหาด้านรายได้และภาระหนี้สิน เนื่องจากช่วงวลาที่ผ่านมาชุมชนได้ประสบปัญหาภัยแล้งทำให้ไม่สามารถสร้างผลผลิตทางการเกษตรได้ ส่งผลต่อมาเป็นปัญหามากมายในชุมชน

กลุ่มเป้าหมายของโครงการจึงเป็นผู้ด้อยโอกาสในหลายช่วงวัยคือ กลุ่มเกษตรกรวัยทำงาน กลุ่มเยาวชนช่วงวัยเรียน กลุ่มเกษตรผู้สูงอายุ ที่เป็นผู้ด้อยโอกาสและขาดแคลนทุนทรัพย์จำนวน 50 คน ที่สนใจการพัฒนาทักษะเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของตน

เมื่อได้กลุ่มเป้าหมายแล้ว โครงการก็ลงพื้นที่เพื่อทำการวิเคราะห์ชุมชนและพบว่าพื้นที่บ้านโคกล่ามมีศักยภาพที่เป็นต้นทุนของชุมชน 4 ประเภท คือ ทุนด้านความรู้ ทุนด้านทรัพยากรธรรมชาติ ทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน และทุนด้านภาคีเครือข่าย ซึ่งต้นทุนทั้งหมดนี้ช่วยทำให้ทิศทางการพัฒนามีความชัดเจนมากขึ้นนั่นคือการฝึกฝนทักษะอาชีพพื้นฐานที่สร้างรายได้ได้จริง โดยเฉพาะการเพาะกล้าไม้ที่เป็นตุ้นทุนทางทักษะที่คนในชุมชนมีความเชี่ยวชาญอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นกล้าประดู่ ยางนา พยุง มะฮอกกานี ต้นรัง ฯลฯ ซึ่งโครงการจะช่วยเสริมองค์ความรู้ที่สำคัญในศตวรรษที่ 21 อย่างการใช้นวัตกรรมต่างๆ การตลาดออนไลน์ การจัดทำบัญชีต้นทุนและบัญชีครัวเรือน เข้ามาช่วยยกระดับการทำงานของชุมชนด้วย

นอกจากนี้หลักสูตรของโครงการยังสอดแทรกการปลูกฝังทัศนคติในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการเข้าใจตัวเอง การเห็นคุณค่าภายในตัวเอง การคิดอย่างเป็นระบบและมีเหตุผล รวมถึงการถอดบทเรียนความสำเร็จและปัญหาอุปสรรค เพื่อเป็นแนวทางให้กับสมาชิกในการพัฒนาต่อไป

จากที่โครงการได้ฝึกฝนทักษะให้กับกลุ่มเป้าหมายตามหลักสูตรที่วางไว้ เจ้าหน้าที่โครงการก็ได้เห็นความก้าวหน้าของกลุ่มเป้าหมาย อาทิ การพัฒนาอาชีพที่ใช้ชุมชนเป็นฐาน ความเข้าใจบริบทของชุมชนมากขึ้น และที่สำคัญคือสมาชิกมีรายได้เพิ่มขึ้นจากการเพาะกล้าไม้ โดยผู้รับผิดชอบโครงการได้เล่าให้ฟังว่า

“หลังจากที่เราได้เติมความรู้ด้านการเพาะกล้าไม้ให้กับสมาชิก เขาก็เอาทักษะไปทำกันจริงๆ ซึ่งสามารถจำหน่ายออกไปได้และมีรายได้เสริมวันละ 200 – 300 บาท บางวันมีคนมาซื้อที่หน้าร้านได้เป็นหลักพันก็มี ซึ่งในลำดับต่อไปเราจะพยายามสร้างเครือข่ายการตลาดให้มากขึ้น เพื่อเป็นช่องทางในการซื้อ-ขายสินค้าให้กับคนในชุมชน”

การวิเคราะห์ชุมชนอย่างถี่ถ้วนบวกกับความสร้างสรรค์ในการแก้ปัญหาของศูนย์การเรียนรู้ชุมชนกลุ่มอีโต้น้อย ทำให้การดำเนินโครงการมีความก้าวหน้าอย่างรวดเร็วและสามารถสร้างทักษะอาชีพให้กับคนในชุมชนได้อย่างเข้มแข็ง ซึ่งนอกจากจะช่วยให้ชุมชนมีรายได้เพิ่มขึ้นจากอาชีพเสริมแล้ว ยังมีบทบาทสำคัญต่อสิ่งแวดล้อมภายในชุมชนด้วย เพราะความสำเร็จของการนำพันธุ์ไม้ที่มีอยู่ในชุมชนมาเพาะขายนั้น ช่วยให้คนในชุมชนตระหนักถึงความสำคัญของทรัพยากรที่มีอยู่ โดยเฉพาะป่าของชุมชนที่ในปัจจุบันกำลังได้รับการดูแลจากคนในชุมชนมากขึ้น

ยกระดับชีวิตของคนพิการด้วยการออกแบบ ‘แผนพัฒนาอาชีพรายบุคคล’ ที่มุ่งเน้นการแก้ปัญหาระยะยาวให้กับคนพิการ

ภาพจำของคนพิการในยุคนี้คือภาพของคนที่สามารถพึ่งพาตัวเองและสามารถหารายได้เพื่อเลี้ยงชีพตนเองได้ เนื่องจากมีหน่วยงานมากมายทั่วประเทศที่ทำหน้าที่ขับเคลื่อนและผลักดันคนพิการให้ได้รับโอกาสในการฝึกทักษะที่นำไปประกอบอาชีพได้ โดยมูลนิธินวัตกรรมทางสังคมคือหนึ่งในองค์กรที่ทำงานกับเรื่องนี้อย่างเข้มข้น

เพราะคนทุกคนมีศักยภาพในการพัฒนาชีวิตของตัวเอง มูลนิธินวัตกรรมทางสังคมเชื่อในแนวคิดนี้และได้จัดทำโครงการ เสริมศักยภาพอาชีพคนพิการระดับตำบลจังหวัดเลยขึ้นมา เพื่อส่งเสริมให้เกิดการจ้างงานคนพิการเพื่อทำงานในชุมชนหรือองค์กรสาธารณประโยชน์ประจำจังหวัดเลย โดยสามารถรวบรวมกลุ่มเป้าหมายมาได้ทั้งหมด 60 คน ซึ่งประกอบไปด้วยคนพิการและผู้ดูแลคนพิการ จากนั้นจึงได้กำหนดเป้าหมายของโครงการไว้ 3 ข้อ คือ 1.จะต้องได้รับการพัฒนาจนสามารถเป็นพี่เลี้ยงพัฒนาอาชีพในพื้นที่ได้ 2.สามารถดำเนินอาชีพของตนและมีรายได้อย่างต่อเนื่อง 3.สามารถป็นหน่วยเชื่อมโอกาสงานและส่งเสริมอาชีพร่วมกับภาคีได้

ในช่วงเวลาที่ผ่านมาโครงการได้ทำการจัดกิจกรรมหลายด้าน ตั้งแต่การสัมมนาเพื่อจัดทำแผนอาชีพรายบุคคล การพัฒนาทักษะพี่เลี้ยงระดับตำบล การพัฒนาทักษะการตลาด การถอดบทเรียนชีวิต เป็นต้น ซึ่งหลักสูตรทั้งหมดนี้ก็ได้ทำให้กลุ่มเป้าหมายมีความก้าวหน้าทั้งองค์ความรู้และทักษะเชิงปฏิบัติการมากขึ้น

หนึ่งในสมาชิกของโครงการได้เล่าถึงประสบการณ์จากเข้าร่วมโครงการนี้ว่า “เหตุผลที่เข้าร่วมโครงการนี้ เพราะโครงการนี้แตกต่างจากโครงการอื่น เนื่องจากมีการฝึกทักษะอาชีพให้คนพิการแตกต่างกันไปศักยภาพและความสามารถ ใครถนัดด้านไหนก็หนุนเสริมด้านนั้น

“นอกจากนี้โครงการก็ยังสร้างให้เกิดการขยายกลุ่มเครือข่ายของคนพิการ ทำให้ได้มีพื้นที่แลกเปลี่ยนพูดคุยกันมากขึ้น ทำให้คนพิการเห็นคุณค่า ศักยภาพ ความสามารถของตนเอง และที่สำคัญคือ ช่วยปรับทัศนคติคนรอบข้างที่มีต่อคนพิการใหม่ กลายเป็นคนที่มีคุณค่าและมีความสามารถในการทำงานเลี้ยงตัวเอง เป็นที่ยอมรับในสังคม”

ในอนาคตหลังจากที่โครงการได้เสร็จสิ้นลง ภารกิจการฝึกทักษะและช่วยออกแบบให้กับคนพิการ น่าจะเป็นส่วนสำคัญในการสร้างรายได้และความภาคภูมิใจในชีวิตให้กลุ่มเป้าหมาย ซึ่งย่อมจะช่วยให้เกิดผลดีทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคมในชุมชนด้วย นอกจากนี้หลังจากที่คนพิการมีสุขภาพจิตที่ดีขึ้น ความพึงพอใจในชีวิตก็ย่อมตามมา ทำให้โอกาสที่พวกเขาจะเข้าไปมีส่วนร่วมในการช่วยเหลือคนพิการกลุ่มอื่นๆ ก็มีมากขึ้น เกิดเป็นวงจรความสำเร็จที่เกื้อกูลกันต่อไปในอนาคต

ม.ราชภัฏสุราษฎร์ออกโครงการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์ แก้ปัญหาความมั่นคงทางอาหารและรายได้ให้ชุมชนชนอ่าวบ้านดอน

อ่าวบ้านดอน จังหวัดสุราษฎร์ธานี เป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็นแหล่งการทำประมงที่สำคัญของบริเวณภาคใต้ตอนบน มีทรัพยากรธรรมชาติทางทะเลที่อุดมสมบูรณ์ และเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ ส่งผลให้ชาวบ้านในอ่าวบ้านดอนประกอบอาชีพประมงเป็นหลัก ทั้งมีความเชี่ยวชาญในการออกทะเลผ่านการนำเครื่องมือประมงหลากหลายชนิดมาใช้ ไม่ว่าจะเป็น เรือไดหมึก คราดหอย อวนรุน ลอบ หรือเบ็ด เป็นต้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้นับว่าเป็นต้นทุนที่สร้างรายได้ให้กับชุมชนมาช้านาน แต่ที่ผ่านมาชุมชนยังขาดองค์ความรู้ในการแปรรูปสินค้าประมง ทำให้ไม่สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์ได้

โครงการพัฒนาและต่อยอดผลิตภัณฑ์กลุ่มประมงพื้นบ้านอ่าวบ้านดอนเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตจึงถือเกิดขึ้นเพื่อช่วยส่งเสริมให้ชาวประมงในอ่าวบ้านดอนมีองค์ความรู้ด้านการแปรรูปและสามารถต่อยอดผลิตภัณฑ์ทางประมงให้ได้มาตรฐาน มีความโดดเด่นน่าสนใจ เพื่อ นำไปจำหน่ายสร้างรายได้ให้กับครัวเรือนต่อไป โดยมีผู้เข้าร่วมโครงการเป็นผู้ด้อยโอกาสทั้งหมด 50 คน ประกอบด้วยแรงงานนอกระบบ กลุ่มคนว่างงาน ผู้ถือบัตรสวัสดิการฯ และผู้สูงอายุ

หลังจากที่โครงการได้เริ่มต้น หน่วยพัฒนาฯ ก็ได้เข้าไปช่วยให้คำปรึกษาและร่วมพัฒนาต่อยอดผลิตภัณฑ์ทางประมง ของคนในชุมชนโดยเฉพาะเรื่องของสินค้าอาหารทะเลแปรรูป เนื่องจากเป็นวิธีในการเพิ่มมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์ของชุมชนที่มีความหลากหลายและเป็นที่นิยมของผู้บริโภค  นอกจากนี้ทางโครงการยังได้มีการจัดอบรมเศรษฐศาสตร์ครัวเรือนและบัญชีครัวเรือน เพื่อให้กลุ่มเป้าหมายมีองค์ความรู้ด้านการออมเงินสำหรับใช้จ่ายในชีวิตประจำวันได้อย่างยั่งยืน

โดยโครงการได้มีการนำแนวคิด Ready for Business มาใช้ในการประชุมงานร่วมกันของกลุ่มเป้าหมายเพื่อร่วมกันหาความฝันในการดำเนินชีวิตของตัวเองตามความเชี่ยวชาญที่ตัวเองมี จากนั้นจึงไปสู่การร่วมกันพัฒนาผลิตภัณฑ์ร่วมกัน โดยมีรายละเอียดดังนี้

1.ด้านความรู้ (Knowledge) กลุ่มเป้าหมายเรียนรู้กระบวนการร่วมกันในการที่กำหนดเป้าหมายเพื่อจัดทำธุรกิจ เรียนรู้ การสร้างวิสัยทัศน์  และการดำเนินชีวิตเพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่วางไว้

2.ทัศนคติ (Attitude) กลุ่มเป้าหมายมีทัศนคติในเชิงบวกในการที่จะพัฒนาศักยภาพของตนเองเพื่อให้ก้าวถึงเป้าหมายที่ได้วางไว้ เรียนรู้ว่ามีโอกาสในการสร้างรายได้ให้เพิ่มขึ้นกับชีวิต

3.ด้านทักษะ (Skill)  เรียนรู้หลักการการวางแผนในการจัดทำธุรกิจ

4.ด้านเครื่องมือ/กระบวนการ ใช้วิธีการสร้างกระบวนการระดมความคิดเห็นทั้งของตนเองและการเรียนรู้ร่วมกัน โดยใช้เอกสารสำคัญในการดำเนินกิจกรรมคือ แนวคิด Ready for Business

จากการนำแนวคิด Ready for Business มาใช้ ส่งผลให้ความคืบหน้าของโครงการในครั้งนี้กลุ่มเป้าหมายสามารถวางแผนในการผลิตสินค้าให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดโดยใช้หลักแนวคิดทางด้านเศรษฐศาสตร์ในการวิเคราะห์ต้นทุนและผลตอบแทน รวมถึงมีแนวทางในการดำเนินชีวิตตามวิถีเศรษฐกิจพอเพียง และเริ่มมีการจัดทำบัญชีครัวเรือนเป็นประจำได้สำเร็จ

อย่างไรก็ตาม การดำเนินการทั้งหมด ยังต้องอาศัยเวลาในการผลิออกออกผล เนื่องจากองค์ความรู้ที่โครงการได้มอบให้ไปนั้น กลุ่มเป้าหมายยังจำเป็นต้องลองนำไปปฏิบัติใช้เพื่อสั่งสมประสบการณ์ด้วยตนเอง ก่อนจะแตกหนอออกเป็นยอดใบของทักษะแห่งชีวิตต่อไป ถึงอย่างนั้น สิ่งที่เห็นได้อย่างชัดเจนคือ กลุ่มเป้าหมายค้นพบเป้าหมายในการดำเนินอาชีพของตนเอง ผ่านกระบวนการเรียนรู้ของโครงการที่ดึงศักยภาพของผู้เข้าร่วมและตัวชุมชนเองมาใช้อย่างมีประสิทธิภาพ

“สิ่งที่เราต้องการคือการมีรายได้เพียงพอสำหรับเลี้ยงสมาชิกในครอบครัว มีครอบครัวที่อบอุ่น พ่อแม่ลูกอยู่พร้อมหน้าพร้อมตาไม่ต้องออกไปทำงานในพื้นที่ไกลจากท้องถิ่น มีอาชีพที่สามารถสร้างรายได้ รวมถึงรายได้ที่เพิ่มขึ้นจากการนำความรู้ในการทำตลาดออนไลน์มาใช้ สามารถออกแบบบรรจุภัณฑ์ที่ดึงดูดใจให้ลูกค้าซื้อสินค้า ผ่านการนำเทคโนโลยีในยุคปัจจุบันมาใช้ในการประกอบอาชีพได้” คือคำบอกเล่าถึงความฝันและเป้าหมายของโครงการดังกล่าว

สิ่งที่เราต้องการคือการมีรายได้เพียงพอสำหรับเลี้ยงสมาชิกในครอบครัว มีครอบครัวที่อบอุ่น พ่อแม่ลูกอยู่พร้อมหน้าพร้อมตาไม่ต้องออกไปทำงานในพื้นที่ไกลจากท้องถิ่น

เปลี่ยนผู้ด้อยโอกาสในชุมชนให้เป็นแรงงานฝีมือที่สามารถก้าวสู่การเป็นผู้ประกอบการ กับโครงการฝึกทักษะที่ใฝ่ฝันของม.ราชภัฏยะลา

การมีรายได้มั่นคง สามารถประกอบอาชีพเพื่อเลี้ยงดูตัวเองและครอบครัวได้ คือหนึ่งในความฝันพื้นฐานของมนุษย์ โครงการฝึกทักษะอาชีพที่ใฝ่ฝันของผู้ขาดแคลนทุนทรัพย์และด้อยโอกาสเพื่อเป็นผู้ประกอบการและแรงงานคุณภาพ โดยมีหน่วยพัฒนาอาชีพจากคณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฎยะลา จึงถูกจัดตั้งขึ้นเพื่อต่อยอดโอกาส เติมเต็มความฝันให้กับเยาวชนที่ขาดแคลนทุนทรัพย์และโอกาสทางการศึกษา ให้สามารถพัฒนาตัวเองมีความรู้และประกอบอาชีพในฝันที่ตัวเองต้องการได้สำเร็จ 

โดยโครงการได้มองหากลุ่มเป้าหมายจากชุมชนอำเภอเมืองยะลาเป็นหลัก ได้แก่ ตำบลบุดี ตำบลวังพญา ตำบลพร่อนและตำบลเปาะเส้ง ก่อนจะเปิดรับสมาชิกเข้ามาได้ทั้งหมด 50 คนตามเป้าที่วางไว้ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วเดิมประกอบอาชีพรับจ้างทั่วไปและว่างงาน โดยได้รับความช่วยเหลือจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจากทั้ง 4 ตำบลในการคัดเลือกผู้เข้าอบรม 

หลังจากโครงการได้เริ่มต้น หน่วยพัฒนาฯ ได้ทำการสำรวจความสนใจและความต้องการที่จะพัฒนาทักษะอาชีพในฝันของกลุ่มเป้าหมาย โดยใช้กระบวนการมีส่วนร่วม จนค้นพบว่ากลุ่มเป้าหมายสนใจที่จะเข้าร่วมพัฒนาทักษะอาชีพใน 3 หลักสูตร คือ หลักสูตรช่างตัดผม หลักสูตรช่างอิเล็กทรอนิกส์ และหลักสูตรทำขนม โดยหน่วยพัฒนาฯ ได้ร่วมมือกับวิทยาลัยสารพัดช่างจังหวัดยะลา เพื่อเน้นให้ผู้อบรมเกิดทักษะจนกลายเป็นความเชี่ยวชาญ จึงได้จัดการฝึกปฏิบัติจริงทั้ง 3 หลักสูตรเป็นระยะเวลา 6 สัปดาห์ 72 ชั่วโมง ดังนี้ 

1.หลักสูตรทำขนมฝึกปฏิบัติจำนวน 20 ประเภท วันละ 2 เมนู โดยได้แบ่งเป็น 2 กลุ่มระหว่างกลุ่มฝึกปฏิบัติจริงกับกลุ่มจดสูตร ก่อนจะสลับบทบาทกันไปเรื่อย ๆ อย่างต่อเนื่อง2หลักสูตรช่างตัดผมลงพื้นที่ปฏิบัติจริงในชุมชน โดยลงพื้นที่ในโรงเรียนตาดีกา จำนวน 15 โรง เพื่อฝึกทักษะด้านการตัดผมผ่านบริการตัดผมฟรี โดยได้รับความสนใจจากนักเรียนและประชาชนทั่วไปในพื้นที่เป็นอย่างดี 3.หลักสูตรช่างอิเล็กทรอนิกส์ ปฏิบัติการซ่อมอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์จริง เช่น แท็บเล็ต สมาร์ทโฟน เป็นต้น

การส่งเสริมการเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะอาชีพทั้ง 3 หลักสูตรให้กลุ่มเป้าหมาย เบื้องต้นหน่วยพัฒนาฯ พบว่าตลอดระยะเวลาการอบรมกลุ่มเป้าหมายได้ให้ความสนใจ มุ่งมั่น และกระตือรือร้นที่จะเรียน โดยเฉพาะกลุ่มที่เข้ารับการอบรมหลักสูตรช่างตัดผม โดยผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจนกลายเป็นความเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้อย่างชัดเจน คือผู้อบรมบางคนมีแนวคิดที่จะพัฒนาเศรษฐกิจในชุมชนตนเองด้วยการรวมกลุ่มกันเปิดร้านให้บริการตัดผมในหมู่บ้าน นอกจากนั้นบางคนเมื่อสำเร็จการศึกษาในระดับหนึ่งจากโครงการฯ แล้วจะเข้าศึกษาเพิ่มเติมกับวิทยาลัยสารพัดช่างต่อ เพื่อสร้างศักยภาพและเพิ่มมูลค่าให้แก่ตัวเอง ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีอีก 2 รายที่สามารถพัฒนาทักษะตัวเองจนกลุ่มเครือข่ายที่เข้ามาร่วมสังเกตการณ์ (แมวมอง) ชักชวนให้เข้าเป็นลูกจ้างในร้านตนเองอีกด้วย 

อย่างไรก็ดี โครงการยังไม่หยุดเพียงเท่านี้ โดยอนาคตนั้น หน่วยพัฒนาได้วางแผนที่จะจัดอบรมหลักสูตรทักษะการเป็นผู้ประกอบการใหม่ เพื่อให้กลุ่มเป้าหมายมีทักษะในการสื่อสารและสร้างช่องทางการตลาดเพื่อประชาสัมพันธ์สินค้าและบริการตัวเอง ตลอดไปจนถึงการวางแผนทางการเงิน และจัดสัมมนาเครือข่ายสร้างผู้ประกอบอาชีพ เพื่อส่งเสริมให้กลุ่มเป้าหมายทุกคนพัฒนาตัวเองจนเกิดความเชี่ยวชาญ ก่อนเดินไปถึงปลายทางที่ฝันไว้ให้สำเร็จ 

‘อยู่ร่วม เพื่อ อยู่รอด’ ศูนย์วิจัยนวัตกรรมการศึกษาแม่ฮ่องสอนจัดโครงการสอนทำขนมจากวัตถุดิบในชุมชน เพื่อแก้ปัญหาขาดแคลนรายได้

ชุมชนบ้านแม่ลามาน้อย จังหวัดแม่ฮ่องสอน ตั้งอยู่บริเวณปลายน้ำของหุบเขาพื้นที่ลุ่มแม่น้ำลามาน้อย มีความอุดมสมบูรณ์ทางธรรมชาติที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ป่าอนุรักษ์อย่าง ป่าช้า ป่าสะดือ และป่าต้นน้ำ หรือพื้นที่ป่าใช้สอยสำหรับประกอบการทำไร่และพื้นที่อยู่อาศัยของชาวบ้านเอง เช่น การทำไร่หมุนเวียน ระหว่าง กล้วย บุก งาขาว และงาดำเป็นต้น 

จากความสมบูรณ์ทางธรรมชาติประกอบกับพื้นที่ชุมชนบ้านแม่ลามาน้อยอยู่ติดกับลุ่มแม่น้ำ ส่งผลให้ชุมชนมีทรัพยากรทางอาหารเป็นจำนวนมาก ชาวบ้านมีการดำเนินวิถีชีวิตเชิงนิเวศวัฒนธรรม ผูกพันกับธรรมชาติและตระหนักรู้ถึงคุณค่าของชุมชนเป็นอย่างดี อย่างไรก็ดี ชุมชนยังขาดความรู้ในการพัฒนาผลผลิตแปรรูปเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้เพียงพอต่อทั้งชุมชนและตลาดที่ให้ความสนใจผลิตภัณฑ์เชิงเกษตรของชุมชน 

“ป่าดี น้ำดี มีอยู่ มีกิน มีรายได้ สุขภาพดี” จึงกลายเป็นเป้าหมายของชุมชนบ้านแม่ลามาน้อย โดยได้รับความช่วยเหลือจากโครงการพัฒนาทักษะการประกอบการเพื่อชุมชนบนพื้นที่สูง จังหวัดแม่ฮ่องสอน โดยมีทีมศูนย์วิจัยนวัตกรรมการศึกษา จังหวัดแม่ฮ่องสอนมาเป็นผู้มอบองค์ความรู้และช่วยสนับสนุนให้ชาวบ้านแม่ลามาน้อยมุ่งสู่เป้าหมายดังกล่าวให้สำเร็จ 

จากความตั้งใจที่จะพัฒนาทักษะอาชีพจากศักยภาพทุนเดิมของชุมชน เพื่อให้ชาวบ้านในชุมชนบ้านลามาน้อยสามารถสร้างรายได้จากทุนทางธรรมชาติที่ตนมี ส่งผลให้โครงการฯ มีผู้สนใจเข้าร่วมมาเป็นกลุ่มเป้าหมายมากถึง 150 คน โดยมีตั้งแต่ผู้สูงอายุ ผู้ว่างงาน ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ แรงงานนอกรัฐ และเด็กและเยาวชน 

ศูนย์วิจัยนวัตกรรมการศึกษา จ.แม่ฮ่องสอน ในฐานะที่เป็นหน่วยพัฒนาอาชีพที่ใช้ชุมชนเป็นฐานของโครงการดังกล่าวจึงได้ออกแบบหลักสูตรการเรียนรู้ในลักษณะเน้นพัฒนาคุณภาพผู้เรียนแบบมีส่วนร่วมโดยอาศัยฐานครอบครัวและชุมชน ระหว่างผู้เรียน ผู้ปกครอง ผู้รู้ในท้องถิ่น ผู้จัดการเรียนรู้ และองค์ความรู้สมัยใหม่ต่าง ๆ ผ่านกิจกรรมการเรียนรู้ที่สามารถก่อให้เกิดการผลิตได้จริง เช่น การแปรรูปผลผลิตจากกล้วย มาเป็นแป้งกล้วย และพัฒนาต่อมาเป็นผลิตภัณฑ์เพื่อเรียนรู้การจัดตลาดทั้งในรูปแบบออฟไลน์และออนไลน์ เป็นต้น

จากหลักสูตรดังกล่าว ศูนย์วิจัยนวัตกรรมระบุว่า กลุ่มเป้าหมายที่เป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่อายุระหว่าง 15 – 30 ปีให้ความสนใจเรียนรู้และสามารถพัฒนาฐานความรู้เดิมและต่อยอดความคิดผ่านความรู้ใหม่ ๆ ในกระบวนการแปรรูปผลผลิตจากวัตถุดิบเดิมของชุมชนได้เป็นอย่างดี นอกจากนั้นแล้ว กลุ่มเป้าหมายช่วงวัยอื่น ๆ เช่น กลุ่มผู้ปกครองหรือกลุ่มผู้สูงวัย ก็ให้ความสนใจไม่แพ้กัน ทั้งยังช่วยสนับสนุนและส่งเสริมโครงการฯ จนกลายมาเป็นกำลังสำคัญในการผลิตและจัดการผลผลิตร่วมกัน

สำหรับอนาคต หลังจากโครงการสิ้นสุดลง หน่วยพัฒนาฯ คาดหวังว่าจะสามารถผลักดันให้ชาวบ้านในชุมชนกลายเป็นผู้ประกอบการได้สำเร็จ สู่การสรรสร้างนวัตกรรมการจัดการคุณภาพชีวิตของชุมชน ตามเป้าหมายที่วางเอาไว้ “ป่าดี น้ำดี มีอยู่ มีกิน มีรายได้ สุขภาพดี”

วิทยาลัยเทคนิคอยุธยานำทีมวิทยากรที่มีประสบการณ์กว่า 40 ปี เปิดโครงการสอนวิชาช่างไฟฟ้า ฝึกผู้ต้องโทษให้มีทักษะพร้อมออกไปประกอบอาชีพ

หน้าที่อย่างหนึ่งที่สำคัญสำหรับทัณฑสถานคือการสั่งสมทักษะอาชีพให้กับผู้ต้องโทษ เพื่อสร้างอนาคตที่มั่นคงภายหลังการพ้นโทษไปแล้วให้กับพวกเขา ที่ผ่านมาทัณฑสถานบำบัดพิเศษจังหวัดพระนครศรีอยุธยาได้มีการอบรมทักษะอาชีพอย่างเช่น อาชีพพับถุง อาชีพทำเฟอร์นิเจอร์ให้กับผู้ต้องโทษ ทว่าเมื่อเวลาผ่านไปอาชีพเหล่านี้ได้ ‘ตกยุค’ สำหรับตลาดแรงงานไปแล้ว

ทัณฑสถานบำบัดพิเศษจังหวัดพระนครศรีอยุธยาจึงได้จับมือกับวิทยาลัยเทคนิคพระนครศรีอยุธยา จัดทำโครงการฝึกอบรมทักษะการติดตั้งระบบไฟฟ้าให้กับผู้ต้องโทษในทัณสถานบำบัดพิเศษจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เพื่อออกแบบหลักสูตรฝึกฝนอาชีพขึ้นมาใหม่ โดยมีทักษะชูโรงคือทักษะการติดตั้งระบบไฟฟ้าซึ่งเป็นทักษะแบบวิชาชีพ กล่าวคือเป็นทักษะช่างที่ตลาดมีความต้องการอยู่ตลอด และยังสามารถต่อยอดเป็นผู้ประกอบการในอนาคตได้อีกด้วย

โครงการได้ทำการเปิดรับสมัครสมาชิกภายในทัณฑสถานโดยทำการคัดเลือกจากความสนใจและความตั้งใจ จนได้สมาชิกทั้งหมดจำนวน 60 คนมาเป็นกลุ่มที่บุกเบิกหลักสูตรรุ่นแรก ซึ่งหลักสูตรการพัฒนาทักษะนั้นจะใช้เวลาอบรมทั้งสิ้น 3 สัปดาห์โดยเริ่มตั้งแต่ความรู้พื้นฐานด้านไฟฟ้า การใช้เครื่องมือชนิดต่างๆ ไปจนถึงการลงมือปฏิบัติจริง 

หลังจากที่อบรมเชิงทักษะเสร็จสิ้นแล้ว โครงการยังได้เสริมหลักสูตรการเป็นผู้ประกอบการต่อด้วย โดยจะเน้นการอบรมในทักษะการเขียนแผนธุรกิจ และทักษะที่จำเป็นในศตวรรษที่ 21 อาทิ การตลาดยุคใหม่ การใช้งานอุปกรณ์ดิจิตอล การใช้งานอินเทอร์เน็ตและแพลตฟอร์มต่างๆ ที่จำเป็นต่อการสร้างธุรกิจ

ประเสริฐ แสงโป๋ อาจารย์ประจำวิทยาลัยเทคนิคพระนครศรีอยุธยาและหัวหน้าโครงการฝึกอบรมทักษะการติดตั้งระบบไฟฟ้าให้กับผู้ต้องโทษในทัณสถานบำบัดพิเศษจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ได้เล่าถึงแนวคิดการฝึกฝนอบรมในโครงการว่า “พอมาเข้าอบรมกับทีมวิทยากรและทีมพี่เลี้ยง เขาก็คอยเติมเต็มและติดอาวุธทางความคิดให้กับเขานะ ถ้าเกิดเราสอนให้เขาเป็นอย่างเดียวแล้วเอาไปใช้ไม่ได้ ไม่มีตลาดให้ เขาก็ไม่มีอาวุธ ไม่มีการทำแผนธุรกิจให้เขาก็เหมือนเดิม” 

หลังจากที่โครงการได้ดำเนินมาแล้วระยะหนึ่ง เจ้าหน้าที่ผู้ดูแลโครงการก็ได้เห็นความก้าวหน้าทางด้านทักษะของสมาชิก โดยกลุ่มเป้าหมายมีความเข้าใจในระบบไฟฟ้ามากขึ้น สามารถเดินสายไฟและติดตั้งระบบไฟเบื้องต้นได้ นอกจากนี้กลุ่มเป้าหมายยังมีทัศนคติต่อตัวเองในแง่บวกมากขึ้น มีความเชื่อมั่นในตัวเองจากทักษะที่ได้เรียนรู้ไป ซึ่งนับว่าเป็นจุดเริ่มต้นอันดีที่จะทำให้ผู้จ้างงานเกิดความมั่นใจในตัวอดีตผู้ต้องโทษมากขึ้นด้วย

พอมาเข้าอบรมกับทีมวิทยากรและทีมพี่เลี้ยง เขาก็คอยเติมเต็มและติดอาวุธทางความคิดให้กับเขานะ ถ้าเกิดเราสอนให้เขาเป็นอย่างเดียวแล้วเอาไปใช้ไม่ได้ ไม่มีตลาดให้ เขาก็ไม่มีอาวุธ ไม่มีการทำแผนธุรกิจให้เขาก็เหมือนเดิม

ศูนย์การเรียนรู้โจ้โก้ เปิดโครงการเพิ่มศักยภาพเกษตรกร เพื่อวางรากฐานด้านทักษะอาชีพในชุมชนเมืองจังให้ครบวงจร

ตำบลเมืองจัง อำเภอภูเพียง จังหวัดน่าน เป็นชุมชนขนาดกลาง ชาวชุนชนประกอบอาชีพหลักคือเป็นเกษตรกร ซึ่งเป็นปัญหาที่สำคัญส่วนหนึ่งของชุมชนเพราะมีการทำการเกษตรแบบเชิงเดี่ยว คือ ปลูกข้าวโพด ที่มีต้นทุนสูงและปลูกได้แค่ปีละ 1 ครั้ง ไม่คุ้มค่ากับการลงทุน ทำให้ในช่วงที่ต้องรอผลผลิต ชาวบ้านก็ขาดแคลนรายได้และไม่ทราบวิธีการแก้ไขกับปัญหานี้

เมื่อมีปัญหาก็ต้องมีทางแก้ โดยศูนย์เรียนรู้โจ้โก้และภาคีเครือข่าย ได้ร่วมกันจัดตั้ง ‘โครงการเพิ่มศักยภาพทักษะความรู้สู่ผู้มีรายได้ ตำบลเมืองจัง อำเภอภูเพียง จังหวัดน่าน’ เพื่อช่วยสนับสนุนให้เกิดอาชีพ เพิ่มทักษะความรู้และสร้างโอกาสให้กับชุมชน โดยมีกลุ่มเป้าหมายหลักที่สำคัญต่อการพัฒนา คือ กลุ่มแรงงานที่ขาดทักษะและโอกาส กลุ่มผู้สูงอายุในพื้นที่ และกลุ่มเกษตรกร 

ศูนย์เรียนรู้โจ้โก้ ได้ลงพื้นที่ชุมชนเพื่อทำความเข้าใจและค้นหาหนทางแก้ไขปัญหา โดยเริ่มจากการพูดคุยกับชุมชนเพื่อค้นหาความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย จากนั้นได้วิเคราะห์พื้นฐานของชุมชนเพื่อนำมาพัฒนา ทำให้ทราบว่าตำบลเมืองจัง อำเภอภูเพียง จังหวัดน่าน มีต้นทุนที่สำคัญ คือ เกษตรกรในพื้นที่ได้รวมกลุ่มกันก่อตั้งกลุ่มวิสาหกิจชุมชน เพื่อหาแนวทางการทำการเกษตรที่เหมาะสมกับคนในพื้นที่ เมื่อมีต้นทุนนี้ทำให้ศูนย์เรียนรู้โจ้โก้กับกลุ่มวิสาหกิจชุมชนสามารถร่วมกันออกแบบหลักสูตรให้กลุ่มเป้าหมายได้ จึงเกิดเป็นหลักสูตรที่ออกแบบตามความถนัดของกลุ่มเป้าหมาย 3 กลุ่ม ได้แก่ 1.กลุ่มช่างชุมชน 2.กลุ่มเพาะพันธุ์กล้าไม้ และ 3.กลุ่มจัดทำปุ๋ยหมัก

กลุ่มช่างชุมชน สำหรับกลุ่มเป้าหมายเกษตรกร ที่โครงการฯ ได้เข้ามาอบรมในด้านความรู้เพิ่มเติม เช่น การอบรมความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับระบบโซล่าเซลล์ การพาพากลุ่มเป้าหมายไปศึกษาดูงานนอกสถานที่ และการดูแลระบบสูบน้ำพลังงานแสงอาทิตย์ เป็นต้น เพื่อเป็นการยกระดับความรู้ให้กับเกษตรกร 

กลุ่มเพาะพันธุ์กล้าไม้ เป็นกลุ่มสำหรับผู้สูงอายุและผู้มีความรู้เรื่องการเพาะกล้าพื้นฐาน ที่โครงการฯ ได้เข้ามาเพิ่มพูนความรู้ในการเพาะกล้าพืชผักสวนครัว เช่น พริก มะเขือ คะน้า ต้มหอม เป็นต้น เพราะเป็นสิ่งที่สามารถบริโภคได้ในชีวิตประจำวัน และสามารถนำไปขายเพื่อสร้างรายได้

กลุ่มจัดทำปุ๋ยหมัก เป็นกลุ่มที่เหมาะกับแรงงานที่ขาดทักษะและโอกาส ที่จะเข้ามาเรียนรู้เกี่ยวกับการทำสูตรปุ๋ยหมักต่างๆ การทำน้ำจุลินทรีย์ การบำรุงดินเพื่อให้เหมาะแก่การเพาะปลูก และการหาแนวทางทำฮอร์โมนจากไข่เพื่อไปเสริมกับกลุ่มเพาะพันธุ์กล้าไม้ต่อไป

จะเห็นได้ว่าการออกแบบหลักสูตรทั้ง 3 แบบนี้ เป็นการคิดจากต้นทุนที่มีอยู่ และเป็นหลักสูตรที่มีความเกี่ยวเนื่องกัน โดยกลุ่มเป้าหมายเมื่อได้รับการอบรมแล้วจะสามารถนำหลักสูตรของตัวเองไปปรับใช้ให้เข้ากับหลักสูตรอื่นๆ ได้ เป็นการกระจายความรู้ให้แก่ชุมชน สู่การเกิดเป็นองค์ความรู้ของชุมชนที่ยั่งยืน

เมื่อโครงการเพิ่มศักยภาพทักษะความรู้สู่ผู้มีรายได้ ตำบลเมืองจัง อำเภอภูเพียง จังหวัดน่าน ได้เข้ามาร่วมพัฒนาชุมชนแล้ว ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในเบื้องต้นสะท้อนให้เห็นว่า ชุมชนให้ความร่วมมือในการที่จะพัฒนาให้เกิดองค์ความรู้ พร้อมที่จะพัฒนาตนเอง ผนวกกับการได้รับโอกาสจากโครงการฯ หน่วยงานและภาคี ทำให้ชุมชนมีประสิทธิภาพในการที่จะขจัดปัญหาเรื่องการขาดทักษะและขาดรายได้อย่างดียิ่งขึ้น

‘ต่อยอดให้เป็น แปรรูปให้ได้’ กศน.สุไหง-โกลกเปิดโครงการเสริมทักษะการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้กับแรงงานด้อยโอกาสเพื่อเพิ่มมูลค่าของผลผลิตทางการเกษตร

อำเภอสุไหงโก-ลก คืออำเภอที่มีความสำคัญทางด้านเศรษฐกิจแห่งนึ่งในภาคใต้ โดยอำเภอนี้มีจุดเด่นในหลายๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นมีการตั้งร้านค้าสหกรณ์ชุมนุมขึ้น มีการจัดตั้งกลุ่มอาชีพต่างๆ เพื่อความเข้มแข็งทางธุรกิจ โดยเฉพาะกลุ่มผู้ค้าขายที่มีความแน่นแฟ้นกันอย่างมาก แต่ขณะเดียวกันเมืองแห่งนี้ยังมีพื้นที่ในการพัฒนาและฟื้นฟูอีกมาก โดยเฉพาะการฝึกฝนแรงงานรุ่นใหม่ๆ ขึ้นมาเพื่อรองรับการเติบโตของเมือง

ในเบื้องต้น หลังจากที่กศน.สุไหงโก-ลก ได้ลงพื้นที่เพื่อวิคราะห์กลุ่มเป้าหมาย ก็ได้พบว่าตัวพื้นที่เองมีกลุ่มที่ทำงานกับคนด้อยโอกาสอยู่แล้ว ซึ่งมีการเชื่อมโยงข้อมูลกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชน เช่น กลุ่มด้อยโอกาสตำบลมูโนะ กลุ่มด้อยโอกาสตำบลปาเสมัส กลุ่มด้อยโอกาสตำบลปูโยะ กลุ่มด้อยโอกาสตำบลแว้ง และกลุ่มด้อยโอกาสตำบลสุไหงโก-ลก

หลังจากที่กศน. ได้ประสานงานกับกลุ่มที่ทำงานในพื้นที่แล้ว จึงจัดเวทีประชาคมขึ้นเพื่อรับฟังความคิดเห็นของกลุ่มเป้าหมาย เพื่อหาแนวทางในการทำแผนพัฒนาทักษะอาชีพและได้มีการรับสมัครสมาชิกโครงการขึ้น โดยมีผู้เข้าร่วมจำนวน 150 คนประกอบด้วยแรงงานนอกระบบ ผู้ว่างงาน ผู้สูงอายุ และผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ

นอกจากนี้โครงการยังได้จัดทำหลักสูตรขึ้นมาตามความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย โดยแบ่งเป็น 8 ทักษะอาชีพ 1.หลักสูตรการทำอาหารและขนม 2.หลักสูตรการตัดเย็บเสื้อผ้า 3.หลักสูตรงานจักสาน 4.หลักสูตรการเกษตรผสมผสาน 5.หลักสูตรการทำหน้ากากอนามัย 6.หลักสูตรการทำบัญชีครัวเรือน 7.หลักสูตรการค้าออนไลน์ 8.หลักสูตรการออกบรรจุภัณฑ์

ระหว่างที่มีการอบรมฝึกฝนกลุ่มเป้าหมาย โครงการได้เห็นการร่วมมือร่วมใจในการเรียนรู้ระหว่างกลุ่มสมาชิกด้วยกัน ซึ่งทำให้เครือข่ายกลุ่มคนด้อยโอกาสทั้ง 5 กลุ่ม ทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนวิเคราะห์จุดเด่นและจุดด้อยของแต่ละพื้นที่อย่างชัดเจน โดยหลังจากการที่กลุ่มเป้าหมายได้ฝึกฝนจนจบหลักสูตรที่เลือกแล้ว จะมีการคัดเลือกตัวแทนมาเพื่อทำการถอดบทเรียนร่วมกับหน่วยพัฒนาอาชีพ จากนั้นกศน. อำเภอสุไหงโก-ลกจะทำการประสานงานกับภาคีเครื่องข่ายเพื่อช่วยกันจัดหางานให้กับกลุ่มเป้าหมายต่อไป

การรวมกลุ่มกันของเครือข่ายคือหัวใจหลักของโครงการพัฒนาฯ นี้ เพราะนับว่าเครือข่ายที่มีอยู่แล้วจากทั้ง 5 ชุมชนเป็นต้นทุนที่มีคุณค่าทางองค์ความรู้และการเข้าถึง ซึ่งการมารวมกลุ่มกันนอกจากจะเห็นให้เกิดการแลกเปลี่ยนบทเรียนระหว่างกันมากขึ้นแล้ว ยังทำให้ชุมชนที่อยู่ใกล้เคียงกันเกิดความเป็นปึกแผ่นและมีความสามารถในการต่อรองเพื่อจัดหางานที่ตรงกับความต้องการของสมาชิกกลุ่มได้อีกด้วย

ม.มหิดล นครสวรรค์ ดึงผู้ด้อยโอกาสมาฝึกทักษะผลิตชะลอมไม้ไผ่ สร้างโอกาส เพิ่มรายได้ พัฒนาผลิตภัณฑ์สะท้อนวิถีชุมชน ตอบโจทย์ความต้องการในท้องถิ่น

“ทุกคนในชุมชนสามารถจักสานไม้ไผ่ได้” คือคำบอกเล่าจากชุมชนบางมะฝ่อที่มีอาณาเขตอยู่ในพื้นที่ของคลองบางปะมุง คำกล่าวนี้สะท้อนให้เห็นว่าคนในชุมชนละแวกนี้ล้วนมีภูมิปัญญาในการผลิตข้าวของเครื่องใช้ในบ้านและการทำเกษตรโดยใช้ไม้ไผ่ เช่น ชะลอม ตะหร้า กระด้ง อีชุก กระพ้อม และลอบดักปลา เป็นต้น

เมื่อต้นทุนของชุมชนมีความชัดเจนดังนี้แล้ว จึงเป็นเรื่องไม่ยากที่หน่วยงานพัฒนาอาชีพจะเข้าไปมีส่วนร่วมในการต่อยอดผลิตภัณฑ์ของชุมชน โดยหลังจากที่โครงการจัดตั้งวิทยาเขตนครสวรรค์ มหาวิทยาลัยมหิดล ได้เข้าไปสำรวจชุมชนละแวกคลองบางปะมุงแล้ว ก็ได้พบว่าคนส่วนใหญ่เชี่ยวชาญการจักสานคือกลุ่มผู้สูงอายุ ซึ่งคนกลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่ยังต้องการรายได้ แต่ไม่สามารถทำงานใช้แรงงานหนักได้เหมือนคนวัยหนุ่มสาว หน่วยงานพัฒนาจึงได้เลือกเอากลุ่มผู้สูงอายุนี้เป็นกลุ่มเป้าหมายหลักในการพัฒนา

โครงการต่อยอดชะลอมเป็นบรรจุภัณฑ์ของผลิตภัณฑ์ชุมชนคลองบางปะมุงมีสมาชิกรวมทั้งสิ้น 42 คน ซึ่งทางมหาวิทยาลัยมหิดลได้ออกแบบหลักสูตรการพัฒนาที่เน้นการจับต้องได้ อย่างเช่น การออกแบบผลิตภัณฑ์จักรสานที่เป็นความต้องการของกลุ่มวิสาหกิจชุมชนใกล้เคียง อย่างเช่น ชะลอม เนื่องจากเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีความยืดหยุ่นในเชิงการใช้งานและสามารถนำไปใช้เป็นบรรจุภัณฑ์ได้หลากหลาย โดยโครงการก็ได้รับหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมความต้องการของกลุ่มวิสาหกิจต่างๆ กับศักยภาพในการผลิตของกลุ่มเป้าหมาย

หลังจากผ่านหลักสูตรที่ช่วยปรับวิธีคิดและต่อยอดผลิตภัณฑ์แบบดั้งเดิมตามทักษะของกลุ่มเป้าหมายแล้ว โครงการก็ได้เห็นว่ากลุ่มเป้าหมายมีความเข้าใจในตลาดชะลอมมากขึ้น และเริ่มสร้างรายได้ผ่านการผลิตชะลอมเพื่อป้อนให้กับกลุ่มผู้ผลิตสินค้าอีกทีหนึ่ง ซึ่งนับว่าเป็นก้าวที่สำคัญที่ช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตให้กับกลุ่มเป้าหมายได้

นอกจากนี้ วิธีคิดการทำงานของโครงการยังช่วยให้เกิดห่วงโซ่อุปทานในชุมชน ตั้งแต่ระดับต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ คือมีการสร้างงานให้กับผู้ปลูกไผ่ ผู้รับจ้างตัดไผ่ ผู้ทำการจักสานออกมาเป็นผลิตภัณฑ์ ไปจนถึงกลุ่มวิสาหกิจชุมชนที่นำเอาผลิตภัณฑ์เหล่านี้ไปใช้เป็นจุดขายของสินค้าตัวเองด้วย จึงนับว่าเป็นการพัฒนาที่ทุกภาคส่วน ‘ได้กำไร’ อย่างแท้จริง

วิทยาลัยชุมชนปัตตานีออกแบบหลักสูตรสร้างอาชีพที่มีที่จุดเริ่มจากทรัพยากรที่มีอยู่แล้วในชุมชน

ตำบลจะรัง อำเภอยะหริ่ง จังหวัดปัตตานี หนึ่งในตำบลที่มีปัญหาผลกระทบเรื่องความเหลื่อมล้ำและความยากจน ทำให้คนในชุมชนขาดโอกาสทางการศึกษาและการประกอบอาชีพ ทั้งที่สภาพแวดล้อมและความเข้มแข็งในชุมชนมีศักยภาพที่จะพัฒนาต่อไปได้ วิทยาลัยชุมชนปัตตานีคือหน่วยงานที่ใกล้ชิดกับชุมชนและได้เห็นปัญหามาเป็นระยะเวลาหนึ่ง จึงได้จัดทำโครงการเพื่อช่วยหาทางพัฒนาศักยภาพเหล่านี้ให้เกิดผลขึ้น

โครงการปัญหารายได้กลุ่มแรงงานชุมชนตำบลจะรัง อำเภอยะหริ่ง จังหวัดปัตตานี เกิดขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหาขาดแคลนรายได้โครงการแก้ปัญหารายได้กลุ่มแรงงานชุมชนตำบลจะรัง อำเภอยะหริ่ง จังหวัดปัตตานี โดยมีกลุ่มเป้าหมายเป็นกลุ่มผู้ด้อยโอกาสในชุมชน เช่น กลุ่มที่ขาดทักษะวิชาชีพ คนว่างงาน และเป็นผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ รวมทั้งสิ้น 150 คน

หลังจากที่ได้รายชื่อสมาชิกมาแล้ว หน่วยพัฒนาอาชีพวิทยาลัยชุมชนปัตตานีได้ลงพื้นที่สำรวจชุมชนเพิ่มเติมและพบว่ายังมีต้นทุนอีกมากของชุมชนที่ยังไม่ได้นำมาเจียระไน เช่น ชุมชนมีแรงงานจำนวนมากที่มีความขยันอดทนแต่ยังขาดทักษะด้านฝีมือ ชุมชนมีต้นตาลโตนดและต้นจากที่สามารถนำมาแปรรูปเพิ่มมูลค่าได้ 

จากต้นทุนเหล่านี้โครงการจึงได้จัดทำ 5 หลักสูตรอาชีพที่สอดคล้องกับพื้นที่คือ 1. หลักสูตรหัตถกรรมสานก้านจาก 2. หลักสูตรการพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารจากตาลโตนดเพื่อสร้างอาชีพ 3. หลักสูตรช่างตัดผมชาย 4. หลักสูตรตัดเย็บเสื้อสตรีพื้นเมืองสมัยนิยม และ 5. หลักสูตรนวดไทยเพื่อสุขภาพ 

ทั้ง 5 หลักสูตรของโครงการนอกจากจะออกแบบตามความต้องการของกลุ่มเป้าหมายแล้ว ยังเป็นดึงศักยภาพของต้นทุนชุมชนออกมาด้วย ไม่ว่าจะเป็นต้นทุนทางทรัพยากรอย่างก้านจากและต้นตาล รวมถึงมีหลักสูตรอาชีพที่มีความต้องการของตลาดแรงงานอย่างช่างตัดผม ช่างตัดเย็บ และหมอนวดไทย

หลังจากที่โครงการได้เริ่มทำการอบรมกลุ่มเป้าหมายได้ระยะหนึ่ง ก็พบว่ากลุ่มเป้าหมายมีการพัฒนาไปในเชิงบวก เช่น กลุ่มเป้าหมายให้ความสนใจและกระตือรือร้นที่จะมาเรียน เพราะมีหลายหลักสูตรที่เป็นทักษะที่กลุ่มเป้าหมายมีความคุ้นเคยอยู่แล้ว ทั้งนี้หน่วยพัฒนาอาชีพยังได้จัดหาภาคีเครือข่ายเพื่อมาสนับสนุนให้กิจกรรมดำเนินไปอย่างราบรื่น และมีการจัดหาวิทยากรผู้เชี่ยวชาญในด้านต่างๆ เข้ามาแลกเปลี่ยนประสบการณ์เพื่อพัฒนากลุ่มเป้าหมายอย่างรอบด้าน

การแก้ปัญหาเรื่องความเหลื่อมล้ำ โดยการสร้างโอกาสให้กับกลุ่มเป้าหมายจะมีประสิทธิภาพอย่างเต็มที่ได้ก็ต่อโอกาสเหล่านั้นเป็นสิ่งที่กลุ่มเป้าหมายต้องการจริงๆ ซึ่งวิธีที่ดีที่สุดในการออกแบบโอกาสหรือการเรียนรู้ให้กับคนกลุ่มนี้คือการค้นหาความต้องการที่แท้จริงของพวกเขาและต้นทุนของชุมชนจริงๆ เพื่อให้การพัฒนาเกิดขึ้นอย่างยั่งยืน

วิทยาลัยชุมชนพิจิตรพัฒนา startup นวดแผนไทยที่ใช้แรงงานกลุ่มผู้สูงอายุ เพื่อรองรับกระแสนักท่องเที่ยวต่างชาติ

การเดินหน้าเข้าสู่ ‘สังคมผู้สูงอายุ’ คือเรื่องใหญ่อันดับต้นๆ ของหลายประเทศทั่วโลก รวมถึงไทยด้วยเช่นกัน สิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังจากการเป็นสังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์ก็คือปัญหาเรื่องคุณภาพชีวิตของคนกลุ่มนี้ เนื่องจากผู้สูงอายุคือคนที่พ้นวัยแรงงานไปแล้ว แต่พวกเขายังมีการอุปโภคและบริโภคไม่ต่างจากคนวัยอื่นๆ ทำให้หลายพื้นที่ในประเทศที่กำลังผลัดเปลี่ยนเป็นสังคมผู้สูงอายุต้องพบปัญหาเรื่องการขาดแคลนรายได้ของคนกลุ่มนี้

พื้นที่ในอำเภอโพธิ์ทับช้างและอำเภอโพทะเล จังหวัดพิจิตร คือหนึ่งในพื้นที่ที่กำลังเคลื่อนสู่การเป็นสังคมผู้สูงอายุ ทำให้หน่วยงานอย่างวิทยาลัยชุมชนพิจิตรคิดริเริ่มโครงการที่จะป้องกันปัญหาการขาดรายได้ของผู้สูงอายุ โดยมีเป้าหมายคือการเพิ่มรายได้ให้กับคนกลุ่มนี้ รวมไปถึงยกระดับคุณภาพชีวิตในภาพรวมของชุมชนด้วย

โครงการพัฒนาทักษะอาชีพนวดแผนไทยของแรงงานสูงอายุและผู้ด้อยโอกาสนอกภาคการศึกษาจึงได้เกิดขึ้นเพื่อขับเคลื่อนไปสู่เป้าหมายนี้ ซึ่งวิทยาลัยชุมชนได้รวบรวมสมาชิกกลุ่มเป้าหมายจำนวน 60 คน ประกอบด้วยผู้สูงวัยและผู้ถือบัตรสวัสดิการฯ ในพื้นที่ จากนั้นจึงได้จัดทำหลักสูตรพัฒนาทักษะอาชีพตั้งแต่กระบวนการต้นน้ำ กลางน้ำ จนถึงปลายน้ำ

เบื้องต้นโครงการได้จัดฝึกอบรมให้ความรู้การนวดแผนไทยแบบครบวงจร ตั้งแต่ทักษะและเทคนิคการนวดแผนไทย การพัฒนาผลิตภัณฑ์จากการนวด โดยหลักสูตรทั้งหมดจะต้องมีความสอดคล้องกับมาตรฐานของสำนักงานพัฒนาฝีมือแรงงานฯ ด้วย จากนั้นโครงการได้ร่วมมือจัดทำแผนพัฒนาแนวทางอาชีพกับหน่วยงานในพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็น องค์การบริหารส่วนตำบล สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัด กรมพัฒนาชุมชน เป็นต้น นอกจากนี้โครงการยังมีการจัดหาสถานที่ศูนย์กลางของการประกอบอาชีพและการให้บริการนวดแผนไทย รวมถึงถอดองค์ความรู้เพื่อเสนอเป็นนโยบายส่งเสริมอาชีพให้กับทางจังหวัดต่อไป

ช่วงเวลาที่ผ่านมา หลังจากที่โครงการได้ดำเนินการฝึกฝนอบรมทักษะการนวดแผนไทยให้กับกลุ่มเป้าหมายแล้ว ก็ได้พบว่ากลุ่มเป้าหมายมีความกระตือรือร้นที่จะสร้างทักษะใหม่ๆ ให้กับตัวเอง โดยกลุ่มที่เป็นผู้สูงอายุนอกจากจะพบว่ามีความสนใจในการต่อยอดอาชีพนวดแผนไทยแล้ว การมีกิจกรรมให้คนกลุ่มนี้ได้มาพบปะกันยังช่วยในเรื่องของสุขภาพจิตและความแน่นแฟ้นของชุมชนด้วย

โครงการการพัฒนาทักษะอาชีพนวดแผนไทยของแรงงานสูงอายุและผู้ด้อยโอกาสนอกภาคการศึกษาของวิทยาลัยชุมชนพิจิตรนี้ จึงตอบโจทย์ด้านคุณภาพชีวิตให้กับกลุ่มเป้าหมายได้อย่างน้อยถึงสองข้อ นั่นคือการสร้างอาชีพและรายได้ รวมถึงสร้างความสุขและความรื่นเริงให้กับชีวิตของผู้สูงวัยและผู้ขาดแคลนโอกาสด้วย

วิทยาลัยชุมชนสมุทรสาครเปิดโครงการฝึกกอาชีพควั่นมะพร้าวน้ำหอม ตอบโจทย์ตลาดแรงงานที่กำลังขาดแคลน

อำเภอบ้านแพ้ว จังหวัดสมุทรสาคร คืออำเภอที่ขึ้นชื่อว่ามีมะพร้าวน้ำหอมรสชาติดีและแตกต่างจากพื้นที่อื่น ซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI) ทำให้มะพร้าวน้ำหอมจากที่แห่งนี้ยิ่งเป็นที่ต้องการของผู้บริโภคมากขึ้น ความต้องการที่สูงขึ้นของตลาด ทำให้อาชีพ ‘ควั่นมะพร้าว’ มีจำนวนไม่เพียงพอ เนื่องจากอาชีพนี้คือแรงงานที่ต้องใช้ทักษะและความชำนาญสูง แรงงานรุ่นใหม่ๆ จึงยังมีฝีมือไม่ทัดเทียม

วิทยาลัยชุมชนสมุทรสาครได้เห็นโอกาสนี้ จึงได้จัดทำโครงการพัฒนาทักษะอาชีพการควั่นมะพร้าวน้ำหอมขึ้น เพื่อฝึกฝนแรงงานในพื้นที่ให้มีทักษะตามมาตรฐานงานประภทนี้ โดยมีกลุ่มเป้าหมายซึ่งเป็นผู้ด้อยโอกาสสนใจมาเข้าร่วมโครงการจำนวน 60 คน ประกอบไปด้วยกลุ่มผู้ว่างงานและมีรายได้น้อย โดยหน่วยพัฒนาอาชีพได้แบ่งหลักสูตรตามต้องการของกลุ่มเป้าหมายเป็น 3 ประเภทคือ 1.หลักสูตรแรงงาน 2.หลักสูตรแรงงานมีฝีมือ 3.หลักสูตรผู้ประกอบการ เพื่อจัดกลุ่มเนื้อหาในการอบรมฝึกฝน

ในเบื้องต้นกลุ่มเป้าหมายทุกคนจะได้เข้าอบรมในเรื่องความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับมะพร้าวน้ำหอมบ้านแพ้ว จากนั้นจึงขยับไปเป็นการควั่นมะพร้าวตั้งแต่ทฤษฎีจนถึงการฝึกปฏิบัติ โดยในส่วนของกลุ่มที่ต้องการก้าวไปเป็นผู้ประกอบการ โครงการก็ได้มีการอบรมในส่วนนี้ด้วยเช่นกัน ซึ่งจะเน้นหนักในวิชาการตลาด การทำบัญชี และการบริหารจัดการกลุ่ม

“สิ่งสำคัญคือการพัฒนาหลักสูตรให้สอดคล้องความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย โดยทีมจากวิทยาลัยชุมชนได้ลงพื้นที่เพื่อสำรวจข้อมูลชุมชน และพบว่าในชุมชนมีปัญหาการขาดแคลนแรงงานในการควั่นมะพร้าวน้ำหอมเพื่อจัดจำหน่าย เราจึงได้ทำการถอดบทเรียนจากผู้เชี่ยวชาญ จนได้หลักการควั่นมะพร้าวน้ำหอมที่มีประสิทธิภาพ มาฝึกอบรมแรงงานรุ่นใหม่ๆ ต่อไป” 

หลังจากที่ผ่านการอบรมฝึกฝนและฝึกงานในสถานประกอบการจริง กลุ่มเป้าหมายมีพัฒนาการไปในทางที่ดีขึ้น มีประสบการณ์และทักษะที่ต่อยอดจากเดิม บางส่วนมีความรู้และความเข้าใจในการเป็นผู้ประกอบการมากขึ้น ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องที่ดีต่ออุตสาหกรรมมะพร้าวน้ำหอมในจังหวัดสมุทรสาคร ที่จะมีจำนวนแรงงานฝีมือเพิ่มเข้าไปในระบบ

เมื่อหน่วยงานพัฒนาอาชีพได้เลือกเอาต้นทุนของชุมชนมาวิเคราะห์ร่วมกับปัญหาของชุมชน ทำให้เกิดการกระบวนการแก้ปัญหาที่จะช่วยทั้งผู้คนในพื้นที่ ผู้ประกอบการ และชุมชนในภาพรวมเอง มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นไปพร้อมๆ กัน ขณะเดียวกันเมื่อโครงการสามารถสร้างความแข็งแรงให้กับการใช้ต้นทุนของชุมชนได้แล้ว การพัฒนานั้นย่อมเกิดความยั่งยืนเนื่องจากเป็นการนำเอาจุดเด่นที่ลอกเลียนแบบได้ยากของพื้นที่มาต่อยอดเพิ่มความเข้มแข็ง

เราได้ทำการถอดบทเรียนจากผู้เชี่ยวชาญ จนได้หลักการควั่นมะพร้าวน้ำหอมที่มีประสิทธิภาพ มาฝึกอบรมแรงงานรุ่นใหม่ๆ ต่อไป

กลุ่มพัฒนาสตรีบ้านแดง ดึงกลุ่มแรงงานด้อยโอกาสในชุมชนมาต่อยอดองค์ความรู้เพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์จากก แก้ปัญหาเศรษฐกิจในครัวเรือน

เสื่อกก หนึ่งในภูมิปัญญาท้องถิ่นที่ถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่นที่สำคัญของตำบลบ้านแดง  อำเภอตระการพืชผล จังหวัดอุบลราชธานี โดยเป็นการนำต้นกกมาสานเป็นเสื่อสำหรับรองนั่งที่มีลวดลายและสีสันสวยงาม แต่จะทำอย่างไรเพื่อเพิ่มมูลค่าของเสื่อกกให้สามารถสร้างงาน สร้างรายได้ ลดหนี้ มีเงินออม พร้อมรับมือและสอดคล้องกับโลกปัจจุบันที่กำลังหมุนเปลี่ยนอย่างรวดเร็วนั้น โครงการพัฒนาอาชีพเพื่อเพิ่มมูลค่าของเสื่อกก ภายใต้คณะกรรมการพัฒนาสตรีตำบลบ้านแดง จึงถือเกิดขึ้น เพื่อพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ในออกแบบลวดลาย เพิ่มทักษะการค้าขาย ส่งเสริมให้ชุมชนสามารถสร้างรายได้ สร้างอาชีพ โดยใช้ชุมชมเป็นฐานสู่การพัฒนาพึ่งพาตนเองได้อย่างมั่นคงและมีความสุข

ในเบื้องต้น โครงการเริ่มจากการชักชวนแกนนำทั้ง 6 คนจาก 3 หมู่บ้านในตำบลบ้านแดง ได้แก่ บ้านแดง หมู่ที่ 1 บ้านทม หมู่ที่ 5 และบ้านโนนบก หมู่ที่ 6 มาหารือถึงแนวทางการดำเนินงานและร่วมกันหาสมาชิกกลุ่ม ก่อนจะเริ่มประชาสัมพันธ์เพื่อเชิญชวนสมาชิกในหมู่บ้านของแต่ละคนมาเข้าร่วม จนสามารถรวมตัวกันได้มากถึง 150 คน โดยมีตั้งแต่ แรงงานนอกระบบ ผู้ถือบัตรสวัสดิการฯ ผู้ว่างงาน ผู้สูงอายุ และผู้พิการ

หลังจากรวบรวมกลุ่มเป้าหมายสำเร็จ คณะกรรมการพัฒนาสตรีตำบลบ้านแดงได้จัดการอบรมภาวะผู้นำให้กับกลุ่มเป้าหมาย โดยเชิญวิทยากรผู้เชี่ยวชาญมาให้ความรู้ในเรื่องการพูด การแสดงออก และการแสดงความคิดเห็นในสถานการณ์ต่าง ๆ เพื่อให้กลุ่มเป้าหมายสามารถนำทักษะเหล่านั้นมาพัฒนาเป็นการพูดเพื่อจูงใจหรือชักชวนให้ลูกค้าสนใจซื้อเสื่อกก สินค้าภูมิปัญญาท้องถิ่นของชาวบ้านในตำบลบ้านแดง 

นอกจากนั้น หน่วยพัฒนาฯ ยังได้พากลุ่มเป้าหมายไปศึกษาดูงานการทอเสื่อกกแบบลวดลายและแปรรูปผลิตภัณฑ์ให้น่าสนใจมากยิ่งขึ้นน ที่บ้านนาโป่ง ต.ทรายมูล อ.ทรายมูล จ.ยโสธร ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ขึ้นชื่อเรื่องการทอเสื่อกกแบบลวดลาย และการแปรรูปผลิตภัณฑ์ 

พร้อมกันนั้น ทางคณะกรรมพัฒนาสตรีบ้านแดงยังได้เชิญภาคีเครือข่าย อาทิ นายก อบต. โรงเรียน รพ.สต. ศูนย์ กศน.ตำบลบ้านแดง และผู้นำชุมชน 3 หมู่บ้าน พช.อ.ตระการพืชผล จังหวัดอุบลราชธานี มาร่วมรับฟังความคิดเห็นและสังเกตการณ์ตลอดการดำเนินโครงการอีกด้วย ส่งผลให้ชุมชนเกิดการสร้างภาคีเครือข่ายผู้นำ โดยมีองค์การบริหารส่วนตำบลและกำนันผู้ใหญ่บ้านให้ความสนใจ พร้อมให้ความช่วยเหลือในการพัฒนาอาชีพ 

ผลการดำเนินงานช่วยให้กลุ่มเป้าหมายเกิดแรงบันดาลใจในการเรียนรู้เพิ่มทักษะพัฒนาอาชีพให้ประสบความสำเร็จ โดยใช้ชุมชนเป็นฐานการผลิตและการบริการเพื่อต่อยอดการเสริมสร้างพัฒนาอาชีพและส่งเสริมสินค้าภูมิปัญญาท้องถิ่นด้วยทุนเดิมจากชุมชนเอง 

“จากเมื่อก่อนชาวบ้านไม่มีการรวมกลุ่มและไม่ค่อยได้ไปมาหาสู่กัน หลังจากที่มีกลุ่มส่งเสริมพัฒนาการทอเสื่อ ทำให้กลุ่มเป้าหมายได้รวมกลุ่มและมาประชุมรวมกัน 3 หมู่บ้านและได้พบปะพูดคุยกันมากขึ้น กลุ่มเป้าหมายมีความสุขที่ได้มาเรียนรู้มาทำงานร่วมกัน เกิดความกระตือรือร้นในการเรียนรู้เพื่อพัฒนาอาชีพ รวมถึงมีแนวคิดในการพัฒนาอาชีพที่ใช้ชุมชนเป็นฐานอย่างเข้มแข็งและยั่งยืน” คือคำบอกเล่าจากพี่เลี้ยงของหน่วยพัฒนาฯ ต่อโครงการดังกล่าว

จากเมื่อก่อนชาวบ้านไม่มีการรวมกลุ่มและไม่ค่อยได้ไปมาหาสู่กัน หลังจากที่มีกลุ่มส่งเสริมพัฒนาการทอเสื่อ ทำให้กลุ่มเป้าหมายได้รวมกลุ่มและมาประชุมรวมกัน 3 หมู่บ้านและได้พบปะพูดคุยกันมากขึ้น

อบต.ยางใหญ่เปิดโครงการสอนการขายผ่านออนไลน์ ติดทักษะเทคโนโลยี เพิ่มช่องทางหารายได้ให้กับชุมชน

ปัจจุบันอินเตอร์เน็ตและสื่อออนไลน์เป็นส่วนสำคัญในชีวิตประจำวันของเราทุกคน โดยเฉพาะประเทศไทยที่มีสัดส่วนผู้ใช้งานอินเตอร์เน็ตเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ แต่ท่ามกลางกระแสโลกาภิวัฒน์ที่กำลังไหลเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว กลับได้พลั้งเผลอทำลายบางอาชีพ บางวัฒนธรรมให้จางหายไป โดยเฉพาะในพื้นที่ต่างจังหวัดและชุมชนนอกเขตเทศบาล 

ชาวบ้านตำบลยางใหญ่ อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี เป็นอีกหนึ่งหมู่บ้านที่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนผ่านอย่างรวดเร็วของกาลเวลา แต่จะทำอย่างไรไม่ให้มีผู้คนตกหล่นรายทางไปมากกว่านี้ หน่วยพัฒนาอาชีพองค์การบริหารส่วนตำบลยางใหญ่ จึงได้จัดทำโครงการพัฒนามัคคุเทศก์ชุมชน ในการบริหารจัดการการท่องเที่ยวเชิงเกษตรโดยใช้สื่อออนไลน์เพื่อเพิ่มรายได้และสร้างโอกาสในพื้นที่ขึ้นมา เพื่อให้ผู้ว่างงานที่จะเกิดขึ้นในอนาคต สามารถเข้าสู่ตลาดแรงงานผ่านสื่อออนไลน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ร่วมกับการนำทรัพยากรหรือทุนทางชุมชนที่มีอยู่มาใช้เป็นรากฐาน ได้แก่ ผลผลิตทางการเกษตรในพื้นที่อย่างทุเรียนภูเขาไฟ และการประกอบอาชีพมัคคุเทศก์ชุมชนผ่านการท่องเที่ยวเชิงเกษตร

เบื้องต้นทางโครงการได้มีการรวบรวมกลุ่มเป้าหมายทั้งหมด 100 คน ที่มีแนวโน้มว่าอาจจะได้รับผลกระทบ หากขาดทักษะในการใช้งานอินเตอร์เน็ตเพื่อสื่อสารและค้าขาย โดยประกอบไปด้วย เด็กนักเรียนทั่วไปในพื้นที่ นักเรียนกศน. ที่อายุ 15 ปีขึ้นไป กลุ่มเกษตรกรชาวสวนที่มีรายได้น้อย กลุ่มผู้ด้อยโอกาส กลุ่มผู้สูงอายุ

หลังจากที่กลุ่มเป้าหมายได้เข้าร่วมโครงการแล้ว ทางหน่วยพัฒนาฯ จึงได้มีการจัดอบรมแนวทางในการพัฒนาทักษะอาชีพเสริมอย่างมัคคุเทศก์ออนไลน์โดยใช้ชุมชนเป็นฐาน ตลอดจนทั้งได้รับความร่วมมือจากคณะกรรมการหมู่บ้าน ในการฝึกอบรมทักษะดังกล่าว ส่งผลให้เกิดกลุ่มเครือข่ายระหว่างกลุ่มเป้าหมายกับผู้นำชุมชนในระดับอำเภอน้ำยืน เกิดแนวคิดร่วมกันที่จะจัดทำสื่อออนไลน์ “กลุ่มมัคคุเทศก์ชุมชนคนน้ำยืน” เพื่อช่วยเหลือและสนับสนุนในการพัฒนาอาชีพบนโลกออนไลน์ต่อไปและกลายเป็นอาชีพที่มั่นคงในอนาคต

นอกจากนั้นแล้ว ทางหน่วยพัฒนาฯ ยังได้จัดการอบรมพื้นฐานในการขายสินค้าเกษตรและการตลาดผ่านสื่อออนไลน์ให้กับกลุ่มเป้าหมาย เช่น ความรู้ด้านการใช้สื่อออนไลน์ในการขายสินค้า เทคนิคการสร้างความน่าสนใจให้กับสินค้าและบริการ ตลอดจนไปถึงการวิธีการจัดส่งสินค้าให้ถึงมือลูกค้าอย่างปลอดภัย เป็นต้น โดยองค์ความรู้ที่ทางหน่วยพัฒนาฯ ได้มอบให้ส่งผลให้กลุ่มเป้าหมายวัยแรงงานสามารถประกอบอาชีพตามสมัยนิยมได้ สามารถดำรงชีวิตและใช้ชุมชนเป็นฐานในการสร้างรายได้ให้กับตัวเอง

ยิ่งไปกว่านั้นแล้ว ทางหน่วยพัฒนาฯ ยังได้ให้ข้อเสนอแนะแก่กลุ่มเป้าหมายเพิ่มเติมด้วยว่า ชุมชนควรหันมาปลูกพืชผักออร์แกนิคให้มากขึ้น เนื่องจากกระแสรักสุขภาพกำลังเป็นที่นิยมในตลาด ซึ่งถือเป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์ทางเกษตรได้อย่างเห็นได้ชัด รวมถึงกลุ่มเป้าหมายเองก็ยังได้ผลประโยชน์ทั้งในเชิงพื้นที่และสุขภาพร่างกายอีกด้วย

จากที่กล่าวมาทั้งหมดจะเห็นได้ว่ากลุ่มเป้าหมายในโครงการฯ เกิดการเปลี่ยนแปลงและเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่อาจฟันธงได้อย่างชัดเจนในเร็วว่า พวกเขาจะสามารถสร้างรายได้ สร้างอาชีพได้อย่างมั่นคงบนเส้นทางที่ทางหน่วยพัฒนาฯ ได้เสนอแนะไว้ให้ โดยในอนาคตทางหน่วยพัฒนาฯ ยังจำเป็นต้องศึกษาและวิเคราะห์ต่อไปเพื่อสำรวจและรวบรวมข้อมูลสินค้าทางเกษตร แหล่งท่องเที่ยวและบริการต่าง ๆ ที่ภายในพื้นที่ เพื่อนำทุกต้นทุนที่ชุมชนมีมาพัฒนาให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อไป

สํานักงานกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร จังหวัดสตูล ทำโครงการพัฒนากลุ่มเกษตรอินทรีย์ให้กับเครือข่าย ‘เขา นา และทะเล’ เพื่อวิถีสีเขียวที่มั่นคง

กระแสรักษ์โลกและรักสุขภาพกำลังมาแรงในช่วงหลาย ๆ ปีที่ผ่านมา สังเกตได้ง่าย ๆ หากเดินเข้าไปในตลาด ห้างสรรพสินค้า หรือร้านค้าบนโลกออนไลน์ เราจะพบเจอคำว่าออร์แกนิกส์หรืออินทรีย์อยู่ทั่วไป จากความนิยมที่ทวีคูณขึ้นเรื่อย ๆ ส่งผลให้ผู้ผลิตหันมาสนใจตลาดดังกล่าวมากขึ้น อย่างไรก็ดี การจะปลูกพืชผักผลไม้ออร์แกนิกส์นั้น จำเป็นต้องพึ่งพาทรัพยากรและมีค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น กลายเป็นเกษตรกรบางรายไม่สามารถวิ่งเข้าสู่ตลาดดังกล่าวได้ 

สำนักงานกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร สาขาจังหวัดสตูล จึงได้จัดโครงการพัฒนาศักยภาพเครือข่ายเกษตรอินทรีย์สู้ผู้ประกอบการสีเขียว ให้กับชาวเกษตรกรที่มีความสนใจในตลาดดังกล่าว ผ่านการจัดอบรมหลักสูตรเพื่อฟื้นฟูอาชีพและผลักดันให้ชาวเกษตรในสตูลกลายเป็นกลุ่มเกษตรอินทรีย์ที่แข็งแรง 

เบื้องต้นโครงการฯ ได้รวบร่วมกลุ่มเป้าหมายทั้งสิ้น 150 คนในจังหวัดสตูล ไม่ว่าจะเป็น แรงงานนอกระบบ ผู้ถือบัตรสวัสดิการ ผู้ว่างงาน ผู้สูงอายุ หรือผู้พิการ ก่อนจะเปิดอบรมแผนพัฒนาทักษะอาชีพสู่การเป็นผู้ประกอบการสีเขียวให้กับกลุ่มเป้าหมาย โดยเนื้อหาส่วนใหญ่ประกอบไปด้วย การผลิตสินค้าภายใต้มาตรฐานเกษตรอินทรีย์แบบมีส่วนรวม (PGS Organic) กระบวนการในการรวบรวมผลผลิตที่ไม่ปนเปื้อนสารเคมีในระหว่างการขนส่ง การแปรรูปผลผลิต การพัฒนาบรรจุภัณฑ์ รวมถึงการพัฒนาตลาดเพื่อให้ผู้ผลิตและผู้บริโภคใกล้ชิดกันมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะเห็นได้ว่าทั้งหมดเป็นหลักสูตรที่คิดอย่างครอบคลุมตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ

นอกจากนั้นแล้ว โครงการยังได้รับความสนใจจากกลุ่มลูกหลานของกลุ่มเป้าหมาย อะห์บาร์ อุเส็น หนึ่งในทีมงานของหน่วยพัฒนาอาชีพของโครงการบอกเล่าว่า เยาวชนกลุ่มนี้มีต้นทุนที่เป็นนักกิจกรรมอยู่แล้ว อีกทั้งบางคนยังเป็นลูกหลานของเกษตรกรกลุ่มเป้าหมายในโครงการฯ จึงทำให้การเชื่อมโยงระหว่างองค์ความรู้ร่วมกับกลุ่มเป้าหมายและเยาวชนในพื้นที่นั้นง่ายมากขึ้น 

“เรามีเป้าหมายจะเชื่อมเยาวชนกลุ่มนี้เข้ากับกิจกรรมตามแผนการดำเนินงานอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมวิชาการและกิจกรรมสันทนาการ บางกิจกรรมได้มีการปรับให้เด็ก ๆ ได้เรียนรู้กับชาวบ้านและเกษตรกรในชุมชน โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างกระบวนการเรียนรู้เรื่องอาชีพ ที่มีความเชื่อมโยงไปถึงวิถีชีวิตของสมาชิกในชุมชน” อะห์บาร์ อุเส็น อธิบาย

จากกระบวนการอบรมดังกล่าวแสดงให้เห็นว่ากระบวนกรและพี่เลี้ยงทำหน้าที่เป็นรอยต่อระหว่างเด็กและผู้ใหญ่ โดยได้พยายามเปิดโอกาสให้เด็ก ๆ แสดงศักยภาพของตัวเอง เปิดเวทีให้เด็กได้เฉิดฉายพลังของตัวเองออกมา ซึ่งอะห์บาร์ อุเส็น  ระบุว่า วิธีดังกล่าวเหมาะที่จะไปปรับใช้กับกลุ่มเป้าหมายที่เป็นผู้ด้อยโอกาส เพื่อให้พวกเขามีโอกาสที่จะค้นหาศักยภาพของตัวเองและแสดงมันออกมา กล่าวคือ เป็นการเรียนรู้และเดินไปข้างหน้าได้ด้วยความสามารถของตัวเอง ซึ่งถือเป็นขั้นสูงสุดของความต้องการของหน่วยพัฒนาอาชีพในการพัฒนาคนและสร้างอาชีพอย่างยั่งยืนที่แท้จริง 

“เราหวังว่าอย่างน้อยที่สุดกระบวนการนี้จะเป็นการลดช่องว่างระหว่างวัยภายในครอบครัว ผ่านการแลกเปลี่ยนความรู้ เพื่อให้ทั้งเยาวชนและผู้ปกครองเข้ามาเชื่อมโยงกันและเข้าใจความคิดของกันและกัน  โดยเด็ก ๆ จะได้มีพื้นที่ในการแสดงออกถึงความรู้ที่ตนเองมี ส่วนผู้ใหญ่จะมีพื้นที่สำหรับแบ่งปันประสบการณ์ บางทีคนละวัยที่มีมุมมองแตกต่างกัน แต่มีเป้าหมายเดียวกัน แม้วิธีการอาจจะแตกต่างกัน แต่หากเรียนรู้ที่จะทำงานร่วมกันก็สามารถหาจุดร่วมเพื่อช่วยกันทำให้บรรลุเป้าหมายได้” อะห์บาร์ อุเส็น ทิ้งท้ายถึงบทเรียนที่ค้นพบในระหว่างทางจากโครงการครั้งนี้

เรามีเป้าหมายจะเชื่อมเยาวชนกลุ่มนี้เข้ากับกิจกรรมตามแผนการดำเนินงานอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมวิชาการและกิจกรรมสันทนาการ บางกิจกรรมได้มีการปรับให้เด็ก ๆ ได้เรียนรู้กับชาวบ้านและเกษตรกรในชุมชน โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างกระบวนการเรียนรู้เรื่องอาชีพ ที่มีความเชื่อมโยงไปถึงวิถีชีวิตของสมาชิกในชุมชน

กลุ่มเยาวชน ‘กอนกวยโซดละเว’ จัดทำโครงการต่อลมหายใจผ้าไหมชาวกวย สืบสานวัฒนธรรม และสร้างอาชีพให้กลุ่มเยาวชนด้อยโอกาสในชุมชน

ชาวกวยหรือชาวบ้านในชุมชนบ้านโพธิ์กระสังข์ ตำบลโพธิ์กระสังข์ อำเภอขุนหาญ จังหวัดศรีสะเกษ อาศัยอยู่ในเขตชายแดนใกล้กับประเทศกัมพูชา มีอัตลักษณ์ ความเป็นมาและวัฒนธรรมเป็นของตนเอง เช่น ภาษา พิธีกรรมการละเล่น โดยเฉพาะผ้าไหมชาวกวย ที่มีการทอผ้าสืบทอดกันมาหลายชั่วอายุคน กลายเป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นขึ้นชื่อและสร้างรายได้ สร้างอาชีพให้กับชุมชนชาวกวย เนื่องจากผ้าไหมชาวกวยนั้นมีลวดลายที่งดงาม โดดเด่น 

อีกทั้งยังมีการปลูกหมอนเลี้ยงไหมที่ถูกถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น ส่งผลให้ผ้าไหมชาวกวยเป็นที่นิยมในตลาดเป็นอย่างมาก แต่ด้วยเพราะชุมชนยังขาดกำลังการผลิตและไม่มีเครื่องมือที่ช่วยอำนวยความสะดวกในการผลิต ส่งผลให้การผลิตผ้าไหมชาวกวยไม่เพียงพอต่อความต้องการ จึงทำให้เกิดการเสียโอกาสการสร้างรายได้  โครงการต่อลมหายใจผ้าไหมชาวกวยเพื่อสร้างรายได้ให้ชุมชน จึงถูกจัดตั้งขึ้นเพื่ออุดช่องโหว่ง ขยายโอกาส  เพื่อสร้างอาชีพ เพิ่มมูลค่าและแนวทางการตลาดให้กับชุมชนชาวกวย 

โดยเริ่มต้นโครงการได้เยาวชนจำนวนทั้งหมด 55 คน มาเป็นกลุ่มเป้าหมายหลัก โดยพวกเขาส่วนใหญ่เป็นนักเรียน นักศึกษา กศน.  เด็กเยาวชนครอบครัวยากจน และเด็กด้อยโอกาสทางการศึกษา เป็นต้น จากคำบอกเล่าของหน่วยพัฒนาอาชีพโรงเรียนบ้านโพธิ์กระสังข์ จังหวัดศรีสะเกษ ที่เข้ามาเป็นพี่เลี้ยงตลอดโครงการดังกล่าว บอกเล่าว่า กลุ่มเป้าหมายมีความสนใจเรื่องผ้าไหมและมีพื้นฐานในการทอผ้าที่ค่อนข้างดีจากครอบครัวอยู่แล้วซึ่งเป็นผลจากการถูกผู้ปกครองปลูกฝังสืบต่อกันมา

สำหรับความก้าวหน้าในโครงการนี้นั้น ทางหน่วยพัฒนาฯ ได้มีการประสานงานกับผู้นำชุมชนและปราชญ์ชุมชนในการลงพื้นที่เพื่อเก็บข้อมูลในชุมชน จนเกิดหลักสูตรที่ได้จากชุมชน ผ่านการใช้องค์ความรู้หลัก ‘3ก’ ได้แก่ เก็บ แกะ และเกิดกระบวนการเก็บ เพื่อดึงเรื่องราวในทิ้งถิ่นมาถอดแบบและสรรค์สร้างออกมาเป็นลวดลายบนพื้นผ้า โดยแบ่งตามประเภทของผ้าต่าง ๆ นอกจากนี้ยังรวมไปถึงผลิตผ้าผืนใหม่แต่ยังคงมีลวดลายดั้งเดิมไม่ได้ละทิ้งความเป็นชาวกวยแต่มีความสมัยนิยมมากขึ้น ส่งผลให้กลุ่มเป้าสามารถสร้างกลุ่มทอผ้าคู่ชุมชน และสามารถสร้างสรรค์ผลงานตามประเภทผ้าได้ ดังนี้ 

  1. ผ้ามัดหมี่ลายขอใหญ่โบราณ  ใช้กระบวนการมัดย้อมเป็นลวดลายก่อนทอ  ซึ่งมีความละเอียดซับซ้อนกว่าการทอผ้าทุกชนิด
  2. ผ้าโสร่ง ใช้กระบวนการตีเกลียว  (ละเว)  เป็นการนำเส้นไหมสองเส้นสองสีตีเกลียวเข้าด้วยกันให้เป็นไหมเส้นเดียว  เป็นเส้นพุ่งเพื่อใช้ในการทอ  โดยการทอผ้าโสร่งลายอัตลักษณ์ของชุมชนตำบลโพธิ์กระสังข์เป็นการทอผ้าแบบตาคู่
  3. ผ้าลูกแก้ว  ใช้กระบวนการทอเหยียบตะกอเพื่อให้เกิดลายยกนูนข้าวหลามตัดซึ่งสี่เหลี่ยมจะซ้อนกัน  3-4  ชั้นตามจำนวนตะกอ  ในชุมชนจะทอลายลูกแก้วแบบ  4  ตะกอ  และ  5 ตะกอ
  4. ผ้าขาวม้า ใช้กระบวนการทอโดยใช้เส้นไหมย้อมสีโดยเส้นไหมยืนหรือไหมเครือขึ้นแบบตาคู่  ทอพุ่งเป็นริ้วที่เรียกว่า ใส้เอี่ยน
  5. ผ้ายกดอก ใช้กระบวนการทอเหยียบเพื่อยกลายนูนขึ้นเหมือนกับลายลูกแก้ว  แต่ลวดลายเป็นลักษณะการประยุกต์ให้มีความสวยงาม โดยส่วนใหญ่ทอเป็นผ้าคลุมไหล่  ในการทอเป็นการทอแบบ 4 ตะกอ  ได้แก่ลาย  ดอกมะลิ ลายดอกพิกุล ลายก้นหอย เป็นต้น

ซึ่งจากลวดลายแต่ละลวดลายเป็นความต้องการของตลาดอย่างมาก ประกอบกับปัจจุบันกระแสของผู้บริโภคที่รักษ์สิ่งแวดล้อมมากขึ้น ส่งผลให้ผ้าไหมย้อมสีธรรมชาติได้รับความนิยม ซึ่งกลายเป็นผลดีทั้งต่อผู้ผลิตและผู้บริโภคเอง อย่างไรก็ดี การต่อลมหายใจให้ผ้าไหมชาวกวยไม่ได้เพียงแค่สร้างรายได้ให้กับชุมชนเท่านั้น แต่โครงการดังกล่าวยังช่วยกระชับความสัมพันธ์ระหว่างผู้ใหญ่ในชุมชนและเยาวชนคนรุ่นใหม่ผ่านอัตลักษณ์ท้องถิ่นได้เป็นอย่างดี

โลกยุคใหม่ต้องขายออนไลน์เป็น! กศน.ป่าติ้วจัดโครงการนักขายมือทองที่สอนคนรุ่นใหม่ให้นำเทคโนโลยีมาใช้ในการขายผลิตภัณฑ์ของชุมชน

อำเภอป่าติ้ว จังหวัดยโสธร เป็นอีกหนึ่งพื้นที่ที่มีผลิตภัณฑ์จากแหล่งทุนของชุมชนเองที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น ผ้าฝ้าย ตะกร้าไม้ไผ่ เสื่อกก กระเป๋าจากกก หมอนขิด ลูกประคบสมุนไพร สบู่สมุนไพร ข้าวไรเบอร์รี่ น้ำอ้อยสด และปลาร้าหมักข้าวคั่วแห้ง เป็นต้น แต่จะทำอย่างไรให้สินค้าเหล่านี้ปรากฏสู่สายตาผู้บริโภคได้มากขึ้นนั้น เมื่อทุกวันนี้เทคโนโลยีดิจิทัลและสื่อออนไลน์เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตมนุษย์เรา ไม่เว้นแม้แต่ภาคการค้า บริการและอุตสาหกรรม  

กศน.อำเภอป่าติ้ว จึงเปิดโอกาสให้นักศึกษาที่มีความสนใจเข้ามาศึกษาเรียนรู้ประสบการณ์ในการพัฒนาตนเองด้านการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจและสังคมในชุมชนในโครงการนักขายมือทองของชุมชน โดยนำหลักสูตร e-commerce มาใช้เพื่อเพิ่มโอกาสทางการตลาดที่กว้างขึ้นในการขายสินค้าให้กับชุมชน ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งที่สร้างความยั่งยืนให้กับชุมชน เกิดรายได้และสามารถเลี้ยงดูตนเองได้ โดยไม่ต้องออกไปนอกพื้นที่บ้านเกิดของตน 

โดยหน่วยพัฒนาฯ ได้มีการคัดเลือกกลุ่มเป้าหมายได้ทั้งหมด 50 คน มีตั้งแต่ นักเรียน นักศึกษา ผู้ว่างงาน ที่มีอายุตั้งแต่ 15 – 59 ปี และสามารถแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ (1) ผู้ที่มีผลิตภัณฑ์หรือสินค้าเป็นของตนเอง โดยกลุ่มนี้มีความสนใจเรื่องการขายและการตลาด และ (2) กลุ่มที่ไม่มีผลิตภัณฑ์ มีความต้องการที่จะเรียนรู้และเพิ่มโอกาสหาช่องทางในการประกอบอาชีพต่อไปในอนาคต

หลังจากได้มีการสำรวจและประชุมหารือกัน หน่วยพัฒนาฯ จึงได้จัดอบรมพัฒนาอาชีพให้เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย โดยมีคณะวิทยากรจากสถาบัน กศน. ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จังหวัดอุบลราชธานี ให้การช่วยเหลือ ก่อนจะออกมาเป็นหลักสูตรดังนี้ หลักสูตรการพัฒนาที่เน้นชุมชนเป็นฐาน หลักสูตรที่เน้นการปฏิบัติจริง หรือจัดกิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้ระหว่างองค์กรทั้งในชุมชนและนอกชุมชน เพื่อให้กลุ่มเป้าหมายสามารถประกอบธุรกิจและค้าขายออนไลน์ได้ด้วยตนเอง ผ่านการนำผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นของชุมชนมาค้าขายบนโลกออนไลน์ให้มีความน่าสนใจและดึงดูดผู้บริโภคทั่วไปมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ โครงการดังกล่าวยังมีภาคีจากหน่วยงานในชุมชนต่างๆ ให้การสนับสนุนในด้านการขนส่งสินค้า เช่น ไปรษณีย์ป่าติ้ว บริการขนส่งเอกชน เป็นต้น

จากการที่กลุ่มเป้าหมายเข้าร่วมการอบรมของโครงการฯ สิ่งที่หน่วยพัฒนาฯ เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงที่ชัดที่สุดคือ กลุ่มเป้าหมายเริ่มมีความรู้และความเข้าใจในทักษะด้านการใช้งานดิจิทัลเทคโนโลยีมากขึ้น รวมถึงมีแรงบันดาลใจและค้นพบเป้าหมายในการสร้างรายได้จากผลิตภัณฑ์ในชุมชน จนก่อเกิดเป็นอาชีพที่มั่นคงให้กับตนเอง 

“เพราะทุกคนสามารถเป็นนักขายมือทองของชุมชน สามารถนำความรู้ที่ได้ไปประยุกต์ใช้ในการประกอบอาชีพและดำเนินชีวิตประจำวันที่สอดคล้องกับปัญหาในชุมชนเพิ่มและพัฒนาศักยภาพด้านการทำธุรกิจการค้าออนไลน์ เน้นต้นทุนจากท้องถิ่นที่มีอยู่ในชุมชน โดยชุมชนเป็นฐานมีรูปแบบการจัดกิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้ที่เหมาะเพื่อส่งเสริมการประกอบอาชีพและการมีงานทำอย่างมั่นคงและยั่งยืน” หนึ่งในผู้จัดโครงการฯ บอกเล่าถึงเป้าหมายสำคัญที่ต้องการก้าวไปให้ถึง

โดยในอนาคตต่อจากนี้ หน่วยพัฒนากศน.อำเภอป่าติ้วได้ตั้งเป้าที่จะปรับปรุงและกำหนดหลักสูตรกระบวนการจัดกิจกรรมแนวทางการดำเนินงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นผ่านการอบรมเชิงปฏิบัติกับกลุ่มเป้าหมาย จนสามารถออกหลักสูตรคู่มือนักขายมือทองที่ชัดเจนเพื่อเผยแพร่ให้หน่วยงานอื่นๆ และประชาชนทั่วไปที่สนใจต่อไป

เพราะทุกคนสามารถเป็นนักขายมือทองได้ และสามารถนำความรู้ที่ได้ไปประยุกต์ใช้ในการประกอบอาชีพและดำเนินชีวิตประจำวันที่สอดคล้องกับปัญหาในชุมชน

วิทยาลัยชุมชนยโสธรแก้ปัญหารายได้เกษตรกรสูงอายุ โดยเปิดสอนการสร้างมูลค่าเพิ่มจาก ‘ผลิตภัณฑ์เกี่ยวเนื่อง’ ที่หลงเหลือจากกระบวนการทำผ้าไหม

หากพูดถึงพื้นที่บริเวณภาคอีสานแล้ว ผู้คนส่วนใหญ่คงคิดถึงพื้นที่ทำไร่ทำนา ชาวบ้านส่วนใหญ่อาศัยและดำรงอยู่กับธรรมชาติที่แสนสวยงาม แต่ก็ต้องเผชิญหน้ากับฤดูกาลที่เปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง ไม่คงที่และเอาแน่เอานอนไม่ได้ 

เช่นเดียวกับชาวบ้านในหมู่บ้านบ้านน้ำอ้อมและบ้านโนนยาง ทั้งสองหมู่บ้านอยู่ในเขตตำบลสำราญ อำเมืองยโสธร จังหวัดยโสธร แม้จะมีทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ ชาวบ้านส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรเป็นหลัก โดยอาศัยฝนตามฤดูกาล และมีอาชีพเสริมเป็นการปลูกหม่อนเลี้ยงไหมและทอผ้า อย่างไรก็ดีในช่วงน้ำแล้งหรือผลประกอบการทางเกษตรไม่เป็นอย่างหวัง ชาวบ้านจึงมักประสบปัญหาขาดแคลนรายได้จากทั้งอาชีพหลักและอาชีพเสริม 

จากการสำรวจและสอบถามชาวบ้านทั้งสองหมู่บ้านพบว่า ชาวบ้านน้ำอ้อมต้องการความรู้ในการจัดการระบบน้ำที่ดีสำหรับการปลูกหม่อน ขณะที่ชาวบ้านกลุ่มโนนยางต้องการพัฒนาผลิตภัณฑ์เส้นไหมของตนเองให้มีคุณภาพและสวยงาม โดยเฉพาะการย้อมสีธรรมชาติ 

หน่วยพัฒนาอาชีพวิทยาลัยชุมชนยโสธรจังหวัดยโสธรจึงได้จัดทำโครงการการพัฒนาทักษะเกษตรกรเพื่อเพิ่มมูลค่าของผลิตภัณฑ์และวัสดุเหลือใช้จากการปลูกหม่อนเลี้ยงไหมและทอผ้า เพื่อพัฒนาทักษะด้านการปลูกหม่อนเลี้ยงไหมและทอผ้าให้สามารถตอบสนองการค้ายุคใหม่ จากเป้าหมายดังกล่าว ส่งผลให้หน่วยพัฒนาฯ มีผู้สนใจเข้าร่วมโครงการทั้งหมด 52 คน โดยทั้งหมดเป็นแรงงานนอกระบบ มีช่วงอายุระหว่าง 60 ปีขึ้นไปสูงสุด รองลงมาคือช่วงอายุระหว่าง 55 – 59 ปี 

หลังจากที่สามารถรวบรวมผู้สนใจได้แล้ว ทางหน่วยพัฒนาฯ จึงได้มีการลงพื้นที่เพื่อสำรวจกลุ่มเป้าหมาย ค้นหาแนวทางในวางแผนการอบรมให้ตรงกับบริบทและปัญหามากที่สุด โดยเบื้องต้นหน่วยพัฒนาฯ ได้จัดอบรมเรื่องการจัดระบบน้ำโดยใช้พลังงานแสงอาทิตย์ ซึ่งถือเป็นพลังงานสะอาดที่ไม่มีวันหมด ไม่มีค่าใช้จ่าย รวมถึงการออกแบบผลิตภัณฑ์และการพัฒนาคุณภาพผลิตภัณฑ์ เช่นการเตรียมเส้นไหมให้มีคุณภาพ กล่าวคือ มีความคงทน (สีไม่ตก ซักง่าย และไม่ขาดง่าย) รวมถึงวิธีการย้อมผ้าต่าง ๆ ซึ่งองค์ความรู้ที่กล่าวมานั้นส่งผลให้ชาวบ้านทั้งสองหมู่บ้านนั้นเกิดการเรียนรู้เชิงปฏิบัติการ ได้แก่ ชาวบ้านได้ลงมือปฏิบัติจริง และสามารถนำไปใช้ในการผลิตได้จริง 

จากการอบรมดังกล่าว กลุ่มเป้าหมายได้นำความรู้มาประกอบใช้ร่วมกับการจัดระบบน้ำในแปลงหม่อนของตนเอง รวมถึงได้แนวคิดในการสร้างสรรค์ผืนผ้าให้สวยงาม สามารถดึงอัตลักษณ์ท้องถิ่นมาเป็นเอกลักษณ์ให้กับผืนผ้าของตน เช่น การนำเปลือกต้นประโหด (มะพูด) ซึ่งเป็นไม้หายากประจำท้องถิ่นมาย้อมไหมให้เป็นสีเหลืองสด หรือการนำชื่อหมู่บ้านน้ำอ้อมมาเป็นตราสินค้าหรือชื่อผลิตภัณฑ์ในอนาคต เพื่อแฝงความหมายและสื่อถึงความรู้สึกโอบอ้อมอารี เป็นต้น ซึ่งทั้งหมดถือเป็นต้นทุนทรงคุณค่าของชุมชน

“กระบวนทั้งหมดช่วยให้กลุ่มเป้าหมายมีความกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้ การค้นหาอัตลักษณ์ส่งผลให้ชุมชนได้รับบทเรียนสำคัญคือ เกษตรกรมองเห็นคุณค่าจากสิ่งใกล้ตัวหรือการนำทรัพยากรธรรมชาติมาใช้ ซึ่งทั้งหมดถือเป็นต้นทุนที่ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่ม ตั้งแต่เรื่องน้ำจนไปถึงการย้อมสีจากพืชหายากที่เป็นสัญลักษณ์ของชุมชน” หนึ่งในหน่วยพัฒนาอาชีพที่จัดอบรมให้กับกลุ่มเป้าหมายอธิบายถึงข้อค้นพบจากโครงการดังกล่าว

กระบวนทั้งหมดช่วยให้กลุ่มเป้าหมายมีความกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้ การค้นหาอัตลักษณ์ส่งผลให้ชุมชนได้รับบทเรียนสำคัญคือ เกษตรกรมองเห็นคุณค่าจากสิ่งใกล้ตัวหรือการนำทรัพยากรธรรมชาติมาใช้

วิทยาลัยชุมชนแม่ฮ่องสอนเปิดโครงการสอนการบริหารโฮมสเตย์ชุมชนชาติพันธุ์และการทำเกษตรพื้นที่สูง ต้อนรับนักท่องเที่ยวกลุ่ม ‘So Lo Mo’ ที่ชอบสัมผัสประสบการณ์ใหม่ๆ

หากพูดถึงการท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ สัมผัสวัฒนธรรม และได้เรียนรู้อัตลักษณ์ความเป็นมาของท้องถิ่น การเลือกท่องเที่ยวแบบโฮมสเตย์ในจังหวัดแม่ฮ่องสอน เป็นอีกหนึ่งพื้นที่ที่กลุ่มนักท่องเที่ยวสายรักธรรมชาตินิยมไปกัน เนื่องด้วยแม่ฮ่องสอนมีทั้งธรรมชาติที่สวยงามและทรัพยากรธรรมชาติที่ยังคงอุดมสมบูรณ์ ประกอบทั้งยังมีชาวชาติพันธุ์ที่ยังคงรักษาขนบธรรมเนียนประเพณีวัฒนธรรมของตัวเองไว้อย่างแน่นแฟ้น อย่างไรก็ดี แม้พื้นที่ดังกล่าวจะเป็นที่ต้องตาต้องใจนักท่องเที่ยวอยู่แล้ว อีกทั้งชุมชนยังมีต้นทุนทางธรรมชาติ แต่กลับยังไม่ได้ถูกนำมาใช้อย่างเต็มที่ และจำเป็นต้องได้รับการพัฒนาเพื่อเพิ่มมูลค่าของผลิตภัณฑ์การท่องเที่ยวต่างๆ ให้ได้มาตรฐานและมีคุณภาพ

ด้วยเหตุดังกล่าว โครงการการพัฒนาทักษะและเพิ่มมูลค่าการให้บริการโฮมสเตย์ชุมชนชาติพันธุ์และการเกษตรแม่นยำบนพื้นที่สูง ภายใต้หน่วยพัฒนาอาชีพวิทยาลัยชุมชนแม่ฮ่องสอน จังหวัดแม่ฮ่องสอน จึงถูกจัดตั้งขึ้น โดยมุ่งหวังพัฒนาและส่งเสริมการตลาดแก่ผู้ให้บริการโฮมสเตย์ในชุมชนให้มีคุณภาพ สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวได้มากขึ้น รวมไปถึงส่งเสริมการทำเกษตรแบบแม่นยำและฟาร์มอัจฉริยะ เพื่อให้ชุมชนสามารถพึ่งพาตนเองและสร้างรายได้จากแหล่งทุนเดิมของตัวเองได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน 

โดยโครงการดังกล่าวได้มีการดำเนินงานในพื้นที่ทั้งหมด 5 หมู่บ้าน จังหวัดแม่ฮ่องสอน กล่าวคือ พื้นที่การเรียนรู้ชุมชนด้านการท่องเที่ยวโดยชุมชน ได้แก่ บ้านป่าแป๋ บ้านละอูบ บ้านลุกข้าวหลาม  และพื้นที่ในเครือข่ายการท่องเที่ยวโดยชุมชนจังหวัดแม่ฮ่องสอน พื้นที่การเรียนรู้ชุมชนด้านเกษตรพื้นที่สูง ได้แก่ บ้านดง บ้านอมพาย รวมกลุ่มเป้าหมายทั้งสิ้น 67 คน

จากการดำเนินโครงการในระยะแรกนั้น ทางหน่วยพัฒนาฯ ได้เน้นพัฒนาศักยภาพด้านการจัดการท่องเที่ยวและอาหารพื้นถิ่นเป็นหลัก เนื่องจากชาวบ้านในชุมชนส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรและมีอาชีพเสริมด้านการให้บริการท่องเที่ยวในชุมชน กล่าวคือกลุ่มเป้าหมายนั้นมีต้นทุนทางด้านทรัพยากรอาหารและมีความหลากหลายของพืชผักและอาหารพื้นถิ่นสูง ทางหน่วยพัฒนาฯ จึงได้มีการจัดอบรมการทำอาหารเพื่อการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมอาหาร (Gastronomy Tourism) หรือโภชนาการท้องถิ่น นอกจากนั้นแล้วกลุ่มเป้าหมายยังให้ความสนใจในการแปรรูปอาหารและการพัฒนาโปรแกรมการท่องเที่ยวด้านอาหารพื้นถิ่น รวมถึงให้ความสำคัญการรักษาทรัพยากรธรรมชาติซึ่งส่งผลให้ผลผลิตและอาหารมีความปลอดภัย และเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพของผู้บริโภค

หน่วยพัฒนาฯ จึงได้มีร่วมมือกับเชฟวิทยากรที่มีประสบการณ์เชี่ยวชาญมาเผยแพร่องค์ความรู้ดังกล่าวให้กับประชาชน โดยโครงการได้ให้กลุ่มเป้าหมายจากชุมชนบ้านแม่ละนา บ้านจ่าโบ่ บ้านลุกข้าวหลาม บ้านผามอน อำเภอปางมะผ้าและบ้านดง อำเภอแม่ลาน้อย บ้านป่าแป๋ อำเภอแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน เรียนรู้จำนวน 5 โมดูล ได้แก่ 1.การออกแบบแผนการทำ เมนู เพื่อการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมอาหาร 2.แผนการจัดการแปรรูปอาหาร 1 ชนิด เพื่อการตลาดของพื้นที่ 3.การเตรียมวัตถุดิบในการประกอบอาหาร 4.การจัดเมนูและขั้นตอนการปรุง 5.การพัฒนาเมนูประจำบ้าน โลโก้และแบรนด์ 

ผลจากการจัดการเรียนรู้ ส่งผลให้กลุ่มเป้าหมายได้รับการพัฒนาศักยภาพด้านการจัดการท่องเที่ยว เมนูและโภชนาการพื้นถิ่น ผ่านการจัดการเรียนรู้ในรูปแบบ Active Learning ในพื้นที่ชุมชน ทั้งยังได้พัฒนาโปรแกรมท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมอาหารและเมนูพื้นถิ่นเพื่อนำไปทดลองด้านการตลาดให้กับกลุ่มลูกค้าเฉพาะ เช่น กลุ่มเจ้าหน้าที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย เป็นต้น

จากการเรียนรู้ดังกล่าวพบว่าบางชุมชนมีศักยภาพในการพัฒนาโปรแกรมการท่องเที่ยวด้านอาหารพื้นถิ่นในรูปแบบเชฟส์เทเบิล (Chef’s Table) ที่น่าสนใจและสร้างสรรค์ ส่งผลให้โครงการนี้ได้รับความสนใจจากกลุ่มนักศึกษาสถาบันด้านอาหารชื่อดังในประเทศสิงคโปร์ The Culinary Institute of America (CIA) ที่ได้เข้ามาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ด้านโภชนาการและอาหารพื้นถิ่นต่อไปในอนาคต นอกจากนี้โครงการยังได้เครือข่ายความร่วมมือจากองค์การบริหารส่วนตำบลปางมะผ้าและศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตรแม่ฮ่องสอน ในการสนับสนุนบุคลากรเป็นวิทยากรจัดการเรียนรู้ด้านเกษตรแม่นยำและฟาร์มอัจฉริยะในช่วงถัดไป

วิทยาลัยชุมชนแพร่นำหลักสูตรการย้อมเสื้อหม้อห้อมแบบดั้งเดิมด้วยสีธรรมชาติกลับมาสอน ช่วยสร้างทักษะ สร้างอาชีพให้กับคนด้อยโอกาสใน 3 ชุมชนของตัวจังหวัด

การย้อมผ้าเป็นเอกลักษณ์ของจังหวัดแพร่ ดังคำขวัญของจังหวัดที่กล่าวไว้ว่า “หม้อห้อมไม้สัก ถิ่นรักพระลอ ช่อแฮศรีเมือง ลือเลื่องแพะเมืองผี คนแพร่นี้ใจงาม” อย่างไรก็ดี ผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นอย่างผ้าหม้อห้อม ในปัจจุบันกลับมีการนำกลวิธีการย้อมผ้าด้วยสารเคมีมาใช้เป็นจำนวนมาก เนื่องด้วยสะดวกรวดเร็วและสามารถขายในราคาที่ถูกกว่า ทำให้ภูมิปัญญาการย้อมสีผ้าหม้อห้อมด้วยสีธรรมชาติค่อยๆ เลือนหายไป 

หน่วยพัฒนาอาชีพจากวิทยาลัยชุมชนแพร่ จังหวัดแพร่ จึงได้จัดโครงการพัฒนาทักษะอาชีพทุนวัฒนธรรมการผลิตผ้าหม้อห้อมของจังหวัดแพร่ขึ้นมา เพื่อสืบสานอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรมให้คนในชุมชนยังสามารถใช้วิธีการย้อมสีธรรมชาติได้เช่นเดิม และเพิ่มช่องทางการตลาดให้ชุมชนสามารถสร้างรายได้และประกอบอาชีพได้อย่างเข้มแข็ง โดยที่ไม่ต้องย้ายถิ่นฐาน

โดยโครงการฯ ได้เฟ้นหากลุ่มเป้าหมายเพื่อเข้าร่วมกับโครงการได้ทั้งสิ้น 75 คน ประกอบไปด้วย ผู้ว่างงาน ผู้สูงอายุ ผู้พิการ และผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ซึ่งกลุ่มเป้าหมายทั้งหมดอาศัยอยู่ใน 3 หมู่บ้านในจังหวัดแพร่ที่มีปัญหาและความต่างการที่แตกต่างกัน ส่งผลให้หน่วยพัฒนาอาชีพวิทยาลัยชุมชนแพร่ จำเป็นต้องออกแบบเนื้อหาหลักสูตรให้กับกลุ่มเป้าหมายดังนี้

1.ส่งเสริมอาชีพการปลูกต้นห้อมเพื่อการค้า: ชุมชนบ้านนาคูหา อำเภอเมืองแพร่ จังหวัดแพร่ ชุมชนบ้านนาคูหา เป็นชุมชนที่มีพื้นที่ในการปลูกห้อมบางแล้ว แต่ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการลักษณะพื้นที่ของชุมชนเป็นชุมชนที่ในเขาและเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำ มีการปลูกกาแฟ และข้าว ทางโครงการจึงได้ส่งเสริมให้เกษตรในพื้นที่ปลูกห้อมมาก เสริมกับพืชในพื้นที่ให้มากยิ่งขึ้น

2ส่งเสริมอาชีพพัฒนาผลิตภัณฑ์ผ้าหม้อห้อม: ชุมชนบ้านทุ่งโฮ้ง อำเภอเมืองแพร่ จังหวัดแพร่ ชุมชนทุ่งโฮ้งเป็นชุมชนในการทำผ้าหม้อห้อมแห่งใหญ่ของจังหวัดแพร่ แต่คนในพื้นที่ไปหางานทำอย่างอื่น ไม่ได้สืบสานอาชีพการทำผ้าหม้อห้อม ทางโครงการฯ จึงมุ่งเน้นให้กลุ่มผู้ว่างงานและเยาวชนที่ยังไม่มีทักษะใดเชี่ยวชาญเข้ารับการพัฒนาทักษะอาชีพผลิตภัณฑ์ผ้าหม้อห้อม พร้อมส่งเสริมให้มีตลาดร้านค้าผ้าหม้อในชุมชนรองรับ เพื่อให้กลุ่มเป้าหมายสามารถพัฒนาทักษะในการแปรรูปผลิตภัณฑ์ผ้าหม้อให้ร้านจำหน่ายและกลับไปทำงานที่บ้านได้อย่างยั่งยืน

3.การแปรรูปผลิตภัณฑ์ผ้าหม้อห้อม: ชุมชนวัดศรีดอนชัย อำเภอลอง จังหวัดแพร่ เป็นกลุ่มทอผ้าพื้นเมือง ที่ดำเนินการจัดกิจกรรมทอผ้าด้วยกระบวนการภูมิปัญญาท้องถิ่น โดยมีพระภิกษุสงฆ์เป็นแกนนำในการใช้สีธรรมชาติ อย่างไรก็ดี ชุมชนยังคงขาดความรู้ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อการจำหน่ายเพื่อสร้างรายได้ เนื่องจากชาวบ้านส่วนใหญ่นิยมทอผ้าเพื่อใช้ในกิจกรรมภายในชุมชนและกิจกรรมทางศาสนาเท่านั้น ทั้งผู้มีความรู้ยังเป็นกลุ่มผู้สูงอายุเป็นหลัก ทางหน่วยพัฒนาฯ จึงเน้นให้ความรู้ด้านการแปรรูปผลิตภัณฑ์ เพื่อให้กลุ่มผู้สูงอายุสามารถหารายได้ และสามารถเลี้ยงตนเองได้ 

จากหลักสูตรที่โครงการได้จัดอบรมให้กลุ่มเป้าหมายพบว่า องค์ความรู้ตลอดหลักสูตรนั้นเป็นไปในลักษณะเพิ่มพูนทักษะและต่อยอด ตั้งแต่ต้นน้ำไปจนถึงปลายน้ำ กล่าวคือ การปลูกห้อมและผลิตห้อมเปียก (ต้นน้ำ) การย้อมผ้าและสร้างลวดล้ายผ้าหม้อห้อม (กลางน้ำ) และการแปรรูปผลิตภัณฑ์ผ้าหม้อห้อม (ปลายน้ำ) ซึ่งทั้ง 3 หลักสูตรดังกล่าวนั้น ทางหน่วยพัฒนาฯ จะนำไปขยายผลในชุมชนต่างๆ เช่น วิทยาลัยชุมชนที่มีงานวิจัยที่เกี่ยวกับเครื่องตีห้อม หรือกับบุคลากรที่มีทักษะทางด้านการวิจัยชุมชนที่จะส่งเสริมการทำงานร่วมกับชุมชน เพื่อสืบสานการอนุรักษ์ผ้าหม้อห้อมเมืองแพร่ต่อไป